วันศุกร์, เมษายน 19, 2024
หน้าแรกการเมืองศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปี ให้หลาบจำ คดีตั้งมหาลัย สันติภาพโลกสาขา 2 ปรับคนละ 8 หมื่น

Related Posts

ศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปี ให้หลาบจำ คดีตั้งมหาลัย สันติภาพโลกสาขา 2 ปรับคนละ 8 หมื่น

วันนี้ (9 มี.ค.65) ที่ ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีก่อตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 World Peace University (WPU ) สำนวนที่ 3 คดีหมายเลขดำ อ.513/2561 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ศุภณัฐ ดอนจันทร์ อายุ 59 ปี อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก (WPU )สาขา 2 , นายเรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์ อายุ 70 ปี อดีตนายกสภามหาวิทยาลัยฯ และ นายเอนก หิรัญรักษ์ อายุ 83 ปี อดีตนายกสภากิตติมศักดิ์ประเภทสภาวิชาการ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน ร่วมกันจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ามีหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญา อันเป็นความผิดตามพ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 มาตรา 9, 10, 104, 121

จากกรณีเมื่อวันที่ 23 ก.พ.- 21 ก.ค.56 จำเลยทั้งสาม ได้ร่วมกันจัดตั้ง มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก 2 (WPU )ตั้งอยู่ที่ 2991/19 โครงการวิสุทธานี ซ.ลาดพร้าว 101/3 ถ.ลาดพร้าว แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจาก รมว.ศึกษาธิการ (ขณะนั้น) ร่วมกันจัดการศึกษาระดับปริญญาโดยไม่ได้รับอนุญาต และกระทำด้วยประการใดๆ ให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่า จำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญา โดยดำเนินการจัดตั้งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก 2 ทั้งร่วมหันแต่งตั้งตำแหน่งทางวิชาการและตำแหน่งทางการบริหารในลักษณะเดียว กับมหาวิทยาลัยที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมาย กำหนดหลักสูตรการเรียนการสอน การมอบปริญญาชั้นต่างๆ และตำแหน่งทางวิชาการ ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยสันติภาพโลก สาขา 2 มีการจัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องทั้งที่ความจริงแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการศึกษาระดับปริญญาตามกฎหมายแต่อย่างใด อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจำเลยทั้งสาม ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสาม มีความผิด ตาม พ.ร.บ.อุดมศึกษาเอกชนฯ มาตรา 10,104,121 ให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 60,000 บาท กับจำคุกจำเลยอีกคนละ 6 เดือนฐานร่วมกันทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ามีหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญา และปรับจำเลยที่ 3 อีก 60,000 บาท รวมจำคุกจำเลยคนละ 12 เดือน และปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงินทั้งสิ้น 120,000 บาท คำให้การของจำเลยทั้งสาม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 8 เดือน และปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน80,000 บาท โดยในส่วนของจำเลยที่ 3 พิเคราะห์แล้วเห็นว่าไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยที 3 มีอายุมาก และเคยประกอบคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์แก่สังคม เห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้เป็นเวลา 1 ปี จากนั้นจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 2 ฎีกา โดยยื่นฎีกาให้ลงโทษสถานเบาด้วย

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ที่โจกท์ยื่นฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ 1036 /2562 หรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์ฟ้องนั้นกระทำความผิดโดยมีเจตนาแยกต่างหากจากกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระและไม่ได้เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดง 1036/2562 ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

ส่วน การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักมั่งคงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยทั้ง2ร่วมกันกระทำความผิดตาม
ศาลอุทธรณ์พิพากษา ฎีกาของจำเลยทั้ง 2 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่จำเลยทั้ง2 ฎีกาว่า มีเหตุลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกหรือไม่ เห็นว่าโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยทั้ง2ในแต่ละฐานความผิดเหมาะสมแก่พฤติการณ์และคดีแล้ว โดยศาลอุทธรณ์ยังลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในสถานเบากว่านี้อีก อย่างไรก็ตามแม้ว่าจำเลยทั้ง 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 จัดตั้งมหาวิทยาลัยฯและกระทำด้วยประการใดๆให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่า จำเลยทั้ง 2 กับ จำเลยที่ 3 มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญาก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้ง 2 จัดให้มีการเรียน การสอน คงเพียงแต่มอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้แก่บุคคลทั่วไปเท่านั้น ซึ่งได้ความจากพยานหลายปากว่า การรับปริญญาบัตรไม่มีค่าใช้จ่าย โดยมีพยานปากหนึ่งให้การว่ามีเพียงค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าถ่ายภาพและค่าส่ง 2,000 บาทเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 2 ไม่ได้แสวงความประโยชน์จากการมอบปริญญาบัตร แม้เป็นความผิดต่อกฎหมายที่ไม่ได้รับใบอนุญาต หรือรับอนุญาตก่อนแต่เห็นได้ว่าพฤติการณ์แห่งคดี ไม่ร้ายแรงนัก ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษจำคุกนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน แต่เพื่อให้จำเลยทั้ง 2 หลาบจำ ควรลงโทษปรับด้วย


พิพากษาแก้เป็น โทษจำคุกของจำเลยที่ 1และ 2 ให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้ลงโทษปรับ จำเลยที่ 1-2 ฐานร่วมกันจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่ามีหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับปริญญา คนละ 80,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยที่ 1และ 2 ยังคงมีโทษจำคุกจากคดีอื่นๆจึงยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts