กลางความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่าง “ป่าไม้ของรัฐ” กับ “ที่ดินทำกินของชาวบ้าน” รัฐบาลเลือกพลิกเกมครั้งสำคัญด้วยการตั้ง คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กลไกที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาที่ฝังรากลึกมานานนับทศวรรษ — แต่เบื้องหลังโครงการนี้ มีทั้งความหวังและข้อกังขาที่สังคมยังเฝ้ารอการพิสูจน์
เสียงเลื่อยไม้ในยามเช้าไม่ใช่เพียงเสียงแห่งการทำกิน แต่คือเสียงสะท้อนของความไม่ลงรอย ที่คาราคาซังในสังคมไทยมาตลอดหลายชั่วคน — คำถามว่าใครกันแน่คือ “เจ้าของที่แท้จริงของผืนดิน”
คทช. ถือกำเนิดขึ้นในปี 2557 จากคำสั่ง คสช. ก่อนถูกยกระดับเป็นกฎหมายเต็มรูปแบบใน พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 โดยมี นายกรัฐมนตรีนั่งเก้าอี้ประธาน มุ่งจัดระเบียบการใช้ที่ดินทั่วประเทศให้มีเอกภาพ

สำหรับ กรมป่าไม้ ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นี่คือภารกิจครั้งใหญ่:
- จัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้เงื่อนไขเข้มงวด
- สิทธิที่ได้ ไม่ใช่โฉนด แต่เป็น “สิทธิชุมชน” ที่โอนหรือขายไม่ได้
- อนุญาตเพียงการเพาะปลูกและอยู่อาศัย เพื่อยืนยันว่าผืนป่ายังคงอยู่ในความดูแลของรัฐ
- เอกสารสำคัญคือ หนังสืออนุญาตใช้ประโยชน์ หรือ “สัญญา คทช.” ที่บอกเพียงว่า คุณมีสิทธิใช้ แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของ
“มันเหมือนการให้เช่าชีวิต” — คำเปรียบเปรยของชาวบ้านบางคน ที่รู้สึกว่าแม้จะได้สิทธิทำกิน แต่อนาคตยังคงผูกอยู่กับการตัดสินใจของรัฐ
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ดินแม้แต่ผืนเดียว โครงการนี้กลับกลายเป็นความหวัง หลายชุมชนได้เข้าสู่ระบบกฎหมาย ลดแรงปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน และฟื้นความเชื่อมั่นว่าผืนป่ายังสามารถอยู่รอดคู่กับคน
- คทช. คือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างจริง ๆ หรือเป็นเพียง “การประนีประนอมชั่วคราว”?
- สิทธิชุมชนที่โอนขายไม่ได้ จะเพียงพอในการยกระดับชีวิตคนจนที่ดินหรือไม่?
- และสุดท้าย…ป่าไม้จะยังคงอยู่ครบถ้วนท่ามกลางการประนีประนอมครั้งนี้หรือเปล่า?

ทั้งหมดนี้คือมิติซับซ้อนของ คทช. กลไกที่หวังจะแก้ปัญหาที่ดินทำกินและรักษาป่าไม้ควบคู่กัน ซึ่งดำเนินการโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผ่านกรมป่าไม้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “สิทธิของคน” และ “ความยั่งยืนของผืนป่า” สมดุลที่ยังต้องการคำตอบจากการเดินหน้าต่อไปของโครงการนี้