“…ในภาวะที่ความมั่นคงของชาติบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากำลังถูกท้าทายอย่างหนัก หลังสัญญาณการปะทะปะทุขึ้นอีกครั้ง “รมว.เฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น ในฐานะเจ้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ก้าวขึ้นมารับบทบาทสำคัญในแนวหลัง สั่งการบัญชาการด้วยตนเองให้เปิดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทุกแห่งตามแนวชายแดนเป็น “ฐานที่มั่น” และ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับอพยพประชาชน ถือเป็นการขานรับคำสั่งนายกรัฐมนตรีอย่างทันท่วงทีและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ สะท้อนภาพผู้นำที่พร้อมลุยในยามวิกฤต…”

“สุชาติ” สั่งลุย! แปลงผืนป่าเป็นฐานทัพมนุษยธรรม
เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ทันทีที่ได้รับข้อสั่งการจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่รอช้า สั่งการด่วนไปยัง ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงฯ ให้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่เข้าสู่ภาวะเตรียมพร้อมสูงสุด
ปฏิบัติการภายใต้การบัญชาการของ “รมว.เฮ้ง” ครั้งนี้ มีเป้าหมายชัดเจน คือการเปลี่ยนพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่อยู่ใกล้เคียง ให้กลายเป็นศูนย์สนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงและมนุษยธรรม โดยสั่งให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งมีความชำนาญในพื้นที่ พร้อมด้วยยานพาหนะและอุปกรณ์ที่จำเป็น เข้าสนับสนุนแผนอพยพของฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ปะทะไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวให้เร็วและปลอดภัยที่สุด
ปฏิบัติการ 2 แนวรบ: ปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน
ภารกิจที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น วางหมากไว้นั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การอพยพประชาชน แต่ยังครอบคลุมไปถึงการพิทักษ์ “พื้นที่ส่วนหลัง” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ในการเฝ้าระวังบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านที่ต้องอพยพทิ้งไว้เบื้องหลัง ป้องกันการฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์
นอกจากนี้ ยังจัดเตรียมเต็นท์ที่พักและสิ่งของจำเป็นสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ปลอดภัย พร้อมทั้งผลักดันการประสานงานกับหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อเคลียร์พื้นที่เส้นทางยุทธวิธีให้ปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์การทำงานเชิงรุก ที่มองปัญหาอย่างรอบด้านและสั่งการได้อย่างเฉียบคม



ภาพสะท้อนจากพื้นที่: เมื่อคำสั่งนำมาซึ่งการปฏิบัติจริง
ผลจากการสั่งการที่รวดเร็วและชัดเจนของนายสุชาติ ทำให้หน่วยงานในพื้นที่สามารถขับเคลื่อนภารกิจได้อย่างมีเอกภาพ ขณะที่สถานการณ์ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ณ วัดศรีรัตนาราม จ.สุรินทร์ ประชาชนผู้อพยพได้รับการดูแลอย่างดีจากทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า เมื่อ “แม่ทัพ” ในส่วนกลางมีความเข้มแข็งและเอาจริงเอาจัง การปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ย่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุดตามไปด้วย
บทพิสูจน์ในการใช้ทรัพยากรของกระทรวงทรัพยากรฯ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพครั้งนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่า “ความมั่นคงของชาติ” ไม่ใช่ภาระของฝ่ายทหารแต่เพียงผู้เดียว และทุกกระทรวงต้องพร้อมแปรเปลี่ยนเป็นกำลังสนับสนุนได้ในทันทีเมื่อชาติอยู่ในภาวะวิกฤต…รัฐบาลควรต้องทบทวนยุทธศาสตร์ความมั่นคง โดยมอบอำนาจและจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงที่ดูแลทรัพยากรในพื้นที่ชายแดน มีบทบาทเชิงรุกในการป้องกันและรับมือภัยคุกคาม เพื่อเปลี่ยนจากการ “ตั้งรับ” เป็น “เตรียมพร้อม” อย่างถาวรใช่หรือไม่?