สืบเนื่องจากคดีนี้ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ ทำการตรวจสอบกรณีมีเจ้าของรีสอร์ตวิลล่าป่าสน เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลว่า มีกลุ่มมิจฉาชีพปลอมเพจเฟซบุ๊กของตน โดยได้นำรูปภาพและวิดีโอจากหน้าเพจเฟซบุ๊กรีสอร์ตของตนไปใช้สร้างเพจปลอม โดยใช้ชื่อเพจว่า “วิลล่าป่าสน เขาค้อ #Villa pason Khaokho” เหมือนกับของเจ้าของรีสอร์ต ซึ่งมีผู้เสียหายจำนวนมากได้หลงเชื่อโอนเงินให้แก่คนร้ายไป ทำให้ผู้สนใจห้องพักเกิดความสับสนว่าเพจใดเป็นเพจจริงหรือเพจปลอม
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ผบช.สอท. ส่งเจ้าหน้าที่ออกสืบสวนกรณีดังกล่าว โดยมอบหมายให้ ว่าที่ พ.ต.อ.อดิชาต อมรประดิษฐ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 เร่งรัดนำทีมลงพื้นที่ดำเนินการ เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เพจดังกล่าวมีเพจจริงใช้ชื่อเพจว่า “วิลล่าป่าสน เขาค้อ #Villa PaSon Khaokho” มีจำนวนผู้ติดตามจำนวน 2.2 แสนคน และผู้กดถูกใจจำนวน 2.2 แสนคน มีการสร้างเพจขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.59 ลิงก์เพจคือ https://www.facebook.com/VillaPasonKhaokho มีบัญชีในการรับโอนเงินจากลูกค้าเป็นบัญชีที่ใช้ชื่อของบริษัทชื่อบัญชี บริษัท วิลล่าป่าสน จำกัด
เมื่อทำการเปรียบเทียบกับเพจที่มีการปลอมแล้วพบว่า เพจปลอมใช้ชื่อเพจว่า “วิลล่าป่าสน เขาค้อ #Villa PaSon Khaokho” ซึ่งใช้ชื่อเดียวกันกับเพจจริงทุกตัวอักษร และใช้รูปภาพโปรไฟล์และภาพพื้นหลังแบบเดียวกันทุกอย่าง แต่มีจำนวนผู้ติดตาม 4.6 หมื่นคนและมีผู้กดถูกใจจำนวน 3.6 หมื่นคน หากกดตรงความโปร่งใสของเพจ พบว่ามีการสร้างเพจขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2561 และเคยมีการใช้ชื่อเพจเป็นภาษาต่างชาติมาก่อน ซึ่งปัจจุบัน ตำรวจไซเบอร์ได้ประสานเฟซบุ๊กปิดกั้นไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนบัญชีที่เพจปลอมใช้ในการรับโอนเงินจากผู้เสียหาย จะถูกเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบความเชื่อมโยงพบว่า เพจ The world ภูทับเบิก ซึ่งเป็นที่พักที่อยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ก็ถูกคนร้ายปลอมขึ้นมาในลักษณะเดียวกันและพบข้อมูลพยานหลักฐานว่ากลุ่มคนร้ายที่แอบอ้างทั้ง 2 เพจ เป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากมีเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกัน โดยมีประชาชนถูกหลอกลวงได้รับความเสียหายรวมทั้งสิ้นกว่า 5,000,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้กระทำผิดในขบวนการได้แล้วหลายราย
กระทั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจของ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บ.สอท.3 ได้สืบสวนจนทราบว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว หลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ จ.สระบุรี 1 ราย จึงได้วางกำลังเข้าจับกุม น.ส.บุษกร อายุ 28 ปี ชาวร้อยเอ็ด โดยสามารถควบคุมตัวได้ที่ ลานจอดรถโรงปูนแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.เขาวง อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยการแสดงเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.4 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายพร้อมเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าวที่ยังหลบหนีมาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป