กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พ.ต.อ.ภคพล สุซล ผกก.๒ บก.ทล., และ พ.ต.ต.ปานเทพ พจน์ธีระมนตรี สว.ส.ทล.5 กก.2 บก.ทล.เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย ร.ต.อ.ป้องเกียรติ สังคหิรัญ รอง สว.ส.ทล.5 กก.2 บก.ทล. ด.ต.พิชัย ชูจิตร, ด.ต.วรวุฒิ ตั้งสิริพันธกุล, ด.ต.อภิรักษ์ เภาประดิษฐ์, จ.ส.ต.วิจักขณ์ ยอดมณี, จ.ส.ต.เอกวุฒิ บุญกาญจน์ ผบ.หมู่ ส.ทล.5 กก.2 บก.ทล.
ร่วมกันจับกุม นายประยูรฯ อายุ 63 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาล จังหวัดเชียงใหม่ ที่ 1968/2567 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”
สถานที่จับกุม ริมถนนสาย 41 กม.181(ขาล่องใต้) หมู่4 ต.ท่าสะท้อน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
พฤติการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ขณะขับรถวิทยุคันหมายเลข 0189 ออกตรวจป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบนทางหลวงหมายเลข41 พบรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด(สีดำ) รุ่นเอเวอเรสต์ ทะเบียน ตรัง ขับรถในลักษณะชิดขอบทางด้านขวา(แช่ขวา) จึงได้เรียกให้รถคันดังกล่าวหยุดรถเพื่อจะออกใบสั่ง พบ นายประยูรฯ อายุ 63 ปี ผู้ต้องหารายนี้เป็นผู้ขับขี่ ตรวจสอบพบ ปรากฏว่าเป็นบุคคลตามหมายจับศาล จังหวัดเชียงใหม่ ที่ 1968/2567 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567ตรวจสอบทราบว่าเมื่อประมาณ ต้นเดือน เมษายน 2567 กลุ่มผู้เสียหาย(ชาติพันธุ์) ได้เดินทางไปร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.สารภี จ.เชียงใหม่ โดยให้การกับพนักงานสอบสวนว่า นายประยูรฯ กับพวกประมาณ 10 คน ได้ทำการประชาสัมพันธ์ เชิญชวน เชื้อเชิญ คนในพื้นที่ ซึ่งมีทั้งคนไทยในพื้นที่ คนไทใหญ่ และคนกะเหรี่ยง เข้ามาร่วมอบรมสัมมนาตามโครงการของตนและพวกที่ก่อตั้งขึ้น
โดยอ้างว่าการอบรมและสัมมนาดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การปลูกฝังให้เป็นบุคคลที่รักในสถาบัน เทิดทูนสถาบัน รักและสืบสานในวัฒนธรรมอันดีของไทย ใช้เวลาในการอบรมแต่ละครั้งไม่เกิน 3 ชั่วโมง มิหนำซ้ำยังเก็บจากผู้ที่จะเข้าร่วมอบรมสัมมนา คนละ 200,300,400,500 บาท และจัดเก็บเงินเป็นค่าเสื้อสีเหลือง จากผู้ที่ประสงค์จะซื้อเสื้ออีกคนละ 350-390 บาท และจะมีการจำหน่ายสติกเกอร์ “คณะประชาชนคนรักในหลวง” ให้กับกลุ่มคนที่จะเข้ารับการอบรมหรือสนใจสั่งซื้อในราคาแผ่นละ 20-30 บาท โดยนายประยูรฯและพวก ได้แจ้งกับคนที่มาพบอบรมสัมมนาว่า หากเข้ารับการอบรมไปแล้วตนจะไปช่วยในเรื่องของการทำ,ต่อบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน 10 ปี,บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย, พาสปอร์ตของบุคคลที่ไม่ใช่คนไทย ซึ่งจะไปช่วยต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐในการจ่ายค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีจำนวนมากให้สามารถจ่ายได้น้อยลง แต่หลังจากได้รับเงินจากผู้เข้ารับการอบรมแล้ว ผู้ต้องหากับพวกก็ไม่ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามที่ตนแจ้งต่อผู้เสียหายแต่อย่างใด
จากข้อมูลพบว่าผู้ต้องหากับพวกได้จัดอบรมให้กับกลุ่มคนชาติพันธุ์ (คนไทใหญ่ คนกะเหรี่ยง) ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2565 โดยจัดอบรมแบบสัญจร ไปในหลายพื้นที่ เช่น อ.แม่อาย อ.สารภี อ.หางดง อ.สันทราย อ.เมืองเชียงใหม่ และอีกหลายอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเก็บค่าใช้จ่ายตามที่กล่าวมาโดยตลอด หากนับจำนวนผู้เข้ารับการอบรมสัมมนาจากคณะผู้ต้องหากับพวกแล้ว มีผู้ที่เข้ารับการอบรมสัมมนา ประมาณ 10,000 กว่าราย มูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท เป็นที่มาของการถูกพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน นำไปสู่การขอศาลออกหมายจับ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงหมายจับดังกล่าวข้างต้น พร้อมแจ้งข้อหาตาม และนำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.สารภี เพื่อดำเนินคดีต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา