ที่สถานนี้ ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ได้มีกลุ่มผู้เสียหายจากการถูกหลอกให้ร่วมลงทุนในกิจการขนส่ง ซึ่งมูลค่าที่ก่อให้เกิดความเสียหายร่วมกัน หลายล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้ที่ได้รับความเสียหายได้เดินทางมาจากหลายจังหวัด ร่วมกันยื่นหนังสือ ติดตามความคืบหน้า 4 ราย นำโดยนายสุขพณัฐ สุขะ โดยมี พ.ต.ท.ธีรวัฒน์ ชุมจันทร์ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองจันทบุรี ออกมารับหนังสือ และได้กล่าวถึงคดีนี้ว่าอยู่ในการดำเนินคดี ซึ่งตอนนี้สำนวนถึงสำนักงานอัยการแล้ว และน่าจะดำเนินตดีเพิ่มตัวผู้ต้องหาเพิ่มได้ หลังจากที่ยื่นหนังสือที่ สภ.อ.เมืองจันทบุรีแล้ว ก็ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อที่ สำนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี สำหรับคดีนี้ นายสุขพณัฐ สุขะ ผู้ที่ได้รับความเสียหาย ได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สภ.อ.เมืองจันทบุรี ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2567
สำหรับพฤติกรรมของผู้ที่หลอกลวงในคดีนี้ เริ่มจากผู้ที่ก่อการ หรือนาย พ. นามสมมุติ ภูมิลำเนาอยู่ที่ จังหวัดชลบุรี ได้มีโอกาสได้รู้จักกับ นางสาวนลินธรณ์ ธนาทิพย์ธีรกุล ภูมิลำเนาอยู่ กทม. ผู้เสียหายอีกรายหนึ่ง ผ่านคนกลางคนหนึ่งแนะนำให้รู้จัก นาย พ. ได้พยายามตีสนิท และคบหากัน นางสาวนลินธรณ์ ได้เล่าว่า นาย พ. ได้พยายามชักชวน นางสาวนลินธรณ์ ร่วมกันจดทะเบียนเปิดบริษัทขนส่ง ซึ่งเดิม นาย พ. มีรถพ่วง สำหรับขนส่งอยู่ 1 คัน และได้นำร่วมวิ่งกับ บริษัทอื่น นางสาวนลินธรณ์ หลงเชื่อจึงได้ ร่วมกันไปเปิดบริษัท โดยมีการให้ตัวแทนรับจดทะเบียน ไปดำเนินการแทน ซึ่งวันที่เดินทาง มีการจดทะเบียนเป็นชื่อ 3 คน คือ นางสาวนลินธรณ์ นาย พ. และ ลูกสาวนาย พ. ซึ่ง ลูกสาวนาย พ. เป็น หุ้นส่วนผู้มีอำนาจ ค่าดำเนินการจดทะเบียน ผู้เสียหายเป็นผู้ออกทั้งหมด และระหว่างนั้น ก็ได้มีการดำเนินกิจการขนส่ง สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง นาย พ. ได้ขอเบิกจากนางสาวนลินธรณ์ ซึ่งได้จ่ายออกไป มุลค่ารวมล้านกว่าบาท ซึ่งเป็นเงินเก็บมาตลอดชีวิต จึงได้ทวงถามถึงรายได้ที่เข้ามา ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด และเริ่มตีตัวออกห่าง หลังจากนั้น นาย พ. ได้แจ้งให้นางสาวนลินธรณ์ ว่า ได้ปิดบริษัทแล้ว ซึ่ง นางสาวนลินธรณ์ ก็เกิดการสงสัย จึงไปตรวจสอบกับ สำนักงานพานิชย์ จึงรู้ว่าตนถูกหลอกไม่มีชื่อตนในบริษัท จึงได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี นาย พ. สำหรับรถพ่วงที่นาย พ. รับวิ่งงานให้กับ บริษัทตนเองที่ ไม่มีชื่อ นางสาวนลินธรณ์ นััน ได้ว่าจ้างรถของ นาย ณัทกร อุกสะอาด ผู้เสียหายอีกราย ซึ่งเปิดเป็น บริษัทขนส่งอยู่แล้ว ที่จังหวัดอยุธยา ให้เข้ามาร่วมวิ่ง เพราะ ตัวนาย พ. เองมีรถเพียงคันเดียว นาย ณัทกร ได้ส่งรถทั้งหมดมาร่วมวิ่งให้กับ นาย พ.
ในช่วงเวลาดังกล่าว นาย พ. ก็ได้รู้จักกับ นายสุขพณัฐ สุขะ และภรรยา ทั้งคู่อาศัยอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี จากการที่ได้สมัครเข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายแห่งหนึ่ง จึงได้เข้าตีสนิท นายสุขพณัฐ ที่มีบุคลิกเป็นคนซื่อ ๆ สองสามีภรรยามีอาชีพหลักคือ ค้าขายเสื้อผ้าอยู่ที่ตามตลาดนัด นาย พ.ได้วางแผนให้หลอกลวง โดยได้เดินทางจาก จังหวัดชลบุรีไปหา นายสุขพณัฐ ที่ขายของอยู่ที่ตลาดนัด และพยายามชักชวนหว่านล้อมต่าง ๆ นานา ให้ร่วมลงทุนกิจการขนส่งกับเขา โดยบอกว่า ให้เอาเงินมาลงทุนกับเขา และจะให้ผลตอบแทน 10 เปอร์เซ้น ต่อเดือน และได้พาทั้งคู่ไปดูโกดังแถวปราจีนบุรี อ้างว่าเป็นของเขา ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ใช่ของเขา ทำตัวเป็นคนรวยกิจการดี ในช่วงเวลานั้น นาย พ.ได้อยู่กับนายสุขพณัฐ และภรรยาตลอด 3 วัน และยังบอกว่าขายของได้เดือนละไม่เท่าไหร่จะเลี้ยงดูแลแม่ได้ยังไง จนทำให้นายสุขพณัฐ และภรรยาหลงเชื่อ แต่ทั้งคู่บอกว่าไม่มีเงิน นาย พ.จึงได้ถามถึงว่ามีที่ดินไหม ให้เอาไปขายฝาก เพื่อเอาเงินมาลงทุนกับเขา และบอกว่าจะจ่ายค่าดำเนินการขายฝากให้และจะจ่ายค่าดอกเบี้ยให้ นายสุขพณัฐ หลงเชื่ จึงได้นำเอาที่ดินที่จังหวัดตนราด มาขายฝากได้เงินมา 600,000 บาท ด้วยความหวังว่า จะได้ค่าตอบแทน เดือนละ 60,000 บาทหากลงทุน 600,000 บาท หลังจากที่ได้ เอาเงินไปร่วมลงทุน ในช่วงต้นเดือน กรกฎาคม 2566 นายสุขพณัฐ ก็ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนเลยสักครั้ง รวมถึงดอกเบี้ยจากการขายฝากก็ไม่เคยจ่ายให้ และเริ่มติดต่อยากขึ้น ทำให้นายสุขพณัฐ จะต้องมารับผิดชอบดอกเบี้ยจากการขายฝาก เดือนละเกือบ 2 หมื่นบาท หลังจากการทวงถามมาตลอด ได้คำตอบจาก นาย พ.ว่าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา ทำให้ ภรรยานายสุขพณัฐ ถึงกับเกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย
ส่วนในกรณี นาย ณัทกร นาย พ. ได้ชักชวน ให้ นาย ณัทกร ได้นำรถบรรทุกพ่วงมาร่วมวิ่ง นาย ณัทกร จึงนำรถของเขาทั้งหมด 6 คันมาร่วมขนส่ง ในช่วงแรก ๆ นาย พ. ก็ได้จ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง แต่ก็ไม่เคยจ่ายเต็มจำนวน จนกระทั่งช่วงหลังเริ่มไม่จ่ายเงินนาย ณัทกร ทวงถามมาตลอด จนสุดท้ายได้คำตอบว่าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา ความเสียหาย ของนาย ณัทกร ที่เกิดขึ้น ล้านกว่าบาท และในช่วงที่ นายพ. ไม่ยอมจ่ายเงินให้ ทำให้นาย ณัทกร ไม่มีเงินจ่ายค่าผ่อนส่งรถ จึงทำให้รถถูกยึดไป กิจการแทบล้มละลาย และพฤติกรรมของนาย พ. ยัังไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ในช่วงที่ นายสุขพณัฐ ได้ไปขึ้นศาลที่จังหวัดจันทบุรี ได้มี คนเดินเข้ามาถามถึงชื่อ เล่น นาย พ. ว่าชื่อ ต. หรือไม่ ปรากฏว่าเป็นชื่อเดียวกัน ซึ่งตอนนี้กำลังทำพฤติกรรมอย่างเดียวกันกับพ่อของเขาอยู่ และเชื่อว่าน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่น ๆ อีกหลายราย มูลค่าความเสียหายเฉพาะ 3 รายนี้ ประมาณ 7 ล้านบาท ขอเตือนภัยหากใครมาชักชวนให้ลงทุนในรูปแบบนี้ให้ระวังไว้ด้วย