วันเสาร์, สิงหาคม 2, 2025
หน้าแรกอาชญากรรมกสม. เผยกรณี ส.ป.ก. เชียงรายไม่พิจารณาออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแก่เกษตรกรเป็นระยะเวลากว่า 13 ปี เป็นการละเมิดสิทธิ แนะเร่งแก้ไขข้อพิพาท

Related Posts

กสม. เผยกรณี ส.ป.ก. เชียงรายไม่พิจารณาออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแก่เกษตรกรเป็นระยะเวลากว่า 13 ปี เป็นการละเมิดสิทธิ แนะเร่งแก้ไขข้อพิพาท

นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 จากผู้ร้องซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรรวม 11 ราย ที่ครอบครองทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินบริเวณริมแม่น้ำกก บ้านไทรทอง หมู่ที่ 6 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ระบุว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำขอต่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงราย (ผู้ถูกร้อง) เพื่อให้ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) ตั้งแต่ปี 2554 แต่จนถึงปัจจุบันผู้ถูกร้องยังพิจารณาเรื่องดังกล่าวไม่แล้วเสร็จ โดยอ้างว่าเนื่องจากมีผู้คัดค้านการออกหนังสืออนุญาตดังกล่าวจึงไม่สามารถพิจารณาได้ เป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่มีความมั่นคงในการถือครองที่ดินและบางส่วนไม่สามารถใช้สิทธิรับเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนจากการตัดถนนผ่านที่ดินทำกินได้ จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้วรับฟังได้ว่า พื้นที่พิพาทกรณีนี้เดิมเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ปี 2533 ผู้ร้องได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยการบุกเบิกแผ้วถางพื้นที่ซึ่งเดิมมีสภาพเป็นป่าเพื่อทำนาและปลูกข้าวโพด บางรายครอบครองที่ดินต่อเนื่องมาจากครอบครัว และทำประโยชน์ในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี 2550 คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้มอบพื้นที่พิพาทให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) รับไปดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ต่อมาปี 2553 มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พื้นที่พิพาทเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และปี 2554 กลุ่มผู้ร้องจึงได้ยื่นคำขอต่อ ส.ป.ก. เชียงราย ผู้ถูกร้อง เพื่อให้ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก. 4-01 โดยปรากฏว่าเอกชนรายหนึ่งซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครคัดค้านการออกหนังสือดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินที่ได้มาด้วยการซื้อขายเมื่อปี 2533 เนื้อที่ 234 ไร่ ส.ป.ก. เชียงราย จึงยังไม่สามารถพิจารณาออก ส.ป.ก. 4-01 ได้ และแจ้งให้กลุ่มผู้ร้องนำข้อพิพาทฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ตัดสินว่าใครมีสิทธิในที่ดินดีกว่ากัน

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อพื้นที่พิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2518 และได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในท้องที่ดังกล่าวแล้ว ส.ป.ก. จึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงมีอำนาจจัดให้บุคคลใดเข้าถือครองและทำประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกที่คณะกรรมการฯ กำหนด เมื่อผู้ร้องทั้ง 11 ราย ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตดำเนินการของ ส.ป.ก. เชียงราย และได้ยื่นคำขอรับการคัดเลือกและจัดที่ดินแล้ว ส.ป.ก. เชียงราย จึงมีหน้าที่ในการสอบสวนข้อเท็จจริงและพิจารณาว่าผู้ยื่นคำขอมีคุณสมบัติอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาให้อนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือไม่ ภายในระยะเวลา 125 วันทำการ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ถูกกำหนดไว้ในคู่มือการให้บริการประชาชนของ ส.ป.ก. ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาระยะเวลาการดำเนินการของ ส.ป.ก. เชียงราย ตามคำร้องนี้นับจากวันที่ผู้ร้องยื่นคำขอต่อ ส.ป.ก. เชียงราย ครั้งแรกเมื่อปี 2554 จนถึงปี 2567 ที่ผู้ร้องร้องเรียนต่อ กสม. เป็นระยะเวลากว่า 13 ปีแล้วที่ยังพิจารณาเรื่องดังกล่าวไม่แล้วเสร็จ

กสม. เห็นว่า การที่ ส.ป.ก. เชียงราย อ้างเหตุที่ยังพิจารณาคำขอเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินให้กับกลุ่มผู้ร้องยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากมีข้อโต้แย้งเรื่องการถือครองที่ดินระหว่างกลุ่มผู้ร้องกับเอกชนยังไม่เป็นที่ยุติและขอให้กลุ่มผู้ร้องนำข้อพิพาทฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ศาลตัดสินว่าใครมีสิทธิในที่ดินดีกว่ากันนั้น ตามหลักเกณฑ์การปฏิบัติงาน การเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ ส.ป.ก. กำหนดให้กรณีเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินมีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในเบื้องต้นเท่าที่ไม่ขัดแย้งกับกฎหมายและระเบียบ เพื่อระงับข้อพิพาทอันมีหรืออาจจะมีขึ้นในอนาคตให้ยุติ ไม่ให้เป็นภาระแก่เกษตรกรที่จะต้องฟ้องคดีกันเอง และในกรณีไม่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดควรต้องชี้ขาดข้อพิพาทตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นในกรณีสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดสั่งให้ผู้ยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินไปดำเนินการทางศาลเพื่อหาข้อยุติโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจที่จะสั่งเช่นนั้น เป็นการกระทำที่ขัดหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส.ป.ก. เชียงราย ผู้ถูกร้อง ในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงต้องพิจารณาว่าบุคคลใดเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในพื้นที่จริง และมีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายหรือระเบียบเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินกำหนดหรือไม่ การที่ผู้ถูกร้องไม่ดำเนินการพิจารณาเช่นว่า จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การปฏิบัติงานที่ ส.ป.ก. กำหนด ทำให้ผู้ร้องทั้ง 11 ราย ยังไม่ได้รับการพิจารณาให้อนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการถือครองที่ดิน และทำให้ไม่สามารถขอรับค่าทดแทนจากการเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างถนนของกรมทางหลวงชนบทได้ ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเกษตรกรผู้ร้องทั้ง 11 ราย

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยัง ส.ป.ก. เชียงราย ผู้ถูกร้อง ให้พิจารณาการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินของผู้ร้องทั้ง 11 ราย ให้แล้วเสร็จและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องกับพวกทราบโดยเร็ว และให้ ส.ป.ก. กำกับดูแลและเร่งรัดให้ ส.ป.ก. เชียงราย ดำเนินการพิจารณาการออกหนังสืออนุญาตดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts