วันที่ 1 ส.ค.68 ที่ ห้องประชุม 109 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทำเนียบรัฐบาล นายบรรจง สุกรีฑารองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ 4/2568 ประชุมบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยมีมติให้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจถึง 43 ราย ที่ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค สร้างความเสียหายรวมกันกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งกรณีเหล่านี้ครอบคลุมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินค้า และบริการทั่วไป
กรณีตัวอย่างจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (9 ราย) จากรายงานการประชุม คคบ. พบว่ามีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ 9 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสัญญาและการก่อสร้าง โดยมีกรณีที่น่าสนใจดังนี้:
- ก่อสร้างบ้านไม่ตรงตามแบบหรือทิ้งงาน: มีผู้ประกอบการหลายรายที่ถูกฟ้อง เนื่องจากก่อสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐาน ใช้วัสดุไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ หรือทิ้งงานไปเฉยๆ ทำให้ผู้บริโภคต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหรือต้องฟ้องร้องเพื่อขอเงินคืน
- สร้างไม่เสร็จตามกำหนด: บางกรณีผู้ประกอบการก่อสร้างล่าช้าอย่างมากจนผู้บริโภคต้องขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน แต่กลับถูกเพิกเฉย นอกจากนี้ยังมีกรณีที่สร้างเสร็จไม่ตรงตามสัญญา ทำให้ผู้บริโภคต้องเรียกค่าปรับจากการก่อสร้างล่าช้า
- สัญญาไม่เป็นธรรม: เช่น กรณีที่ผู้บริโภคจองซื้อบ้านแต่สัญญาไม่ได้ระบุระยะเวลาแล้วเสร็จ ทำให้การก่อสร้างล่าช้าอย่างไม่มีกำหนด หรือกรณีที่ผู้ประกอบการรับปากว่าจะรับซื้อคืนห้องชุดในราคาเดิม แต่กลับบ่ายเบี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
- ไม่โอนกรรมสิทธิ์: มีกรณีที่ผู้บริโภคชำระเงินค่าห้องชุดครบถ้วนแล้ว แต่ผู้ประกอบการกลับไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้ ทำให้เกิดความเสียหาย
กรณีตัวอย่างจากธุรกิจสินค้าและบริการทั่วไป (34 ราย)
ในส่วนของธุรกิจสินค้าและบริการทั่วไป มีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการถึง 34 ราย โดยปัญหาที่พบมีความหลากหลาย เช่น: - บริการที่ไม่เป็นไปตามสัญญา: เช่น สถานออกกำลังกายที่ประกาศปิดชั่วคราวและไม่สามารถกลับมาเปิดได้ตามกำหนด ทำให้สมาชิกต้องขอเงินคืน, สถาบันสอนภาษาที่ยกเลิกคอร์สและไม่คืนเงิน, หรือบริษัททัวร์ที่ไม่สามารถจัดการเดินทางได้และไม่ยอมคืนเงินเต็มจำนวน
- สินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณา หรือมีตำหนิ: มีกรณีที่ผู้บริโภคสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น แหวนเพชร หรือจอคอมพิวเตอร์ แต่ได้รับของที่ไม่ตรงปกหรือใช้งานไม่ได้ และเมื่อต้องการส่งคืนหรือขอเงินคืน ผู้ขายก็บ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบ
- การซ่อมแซมที่ไม่ได้มาตรฐาน: เช่น กรณีซ่อมแอร์รถยนต์หรือซ่อมรถยนต์ที่ใช้เวลานานและแก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำให้ผู้บริโภคต้องเสียเงินและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
- ปัญหาการไม่ส่งมอบสินค้า: มีผู้ประกอบการที่รับเงินค่าสินค้าไปแล้ว แต่ไม่ยอมส่งมอบสินค้าให้ตามกำหนดเวลา หรือส่งมอบสินค้าไม่ครบถ้วน ทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน
คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค
จากกรณีข้างต้นแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบธุรกิจบางรายยังคงละเลยสิทธิของผู้บริโภค ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ผู้บริโภคควร: - ตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วน: ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการใดๆ ควรศึกษาข้อมูลของผู้ประกอบการอย่างละเอียด ทั้งความน่าเชื่อถือและประวัติการให้บริการ
- อ่านสัญญาให้เข้าใจ: ทุกครั้งที่มีการทำสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการจองซื้อบ้านหรือการใช้บริการต่างๆ ควรอ่านรายละเอียดในสัญญาให้ครบถ้วน หากมีข้อสงสัยหรือไม่เป็นธรรม ควรรีบทักท้วง
- เก็บหลักฐานการซื้อ-ขาย: ควรเก็บหลักฐานการทำธุรกรรมทั้งหมด เช่น ใบเสร็จ สัญญา หรือข้อความสนทนาต่างๆ ไว้ให้ดี เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีหากเกิดปัญหาขึ้น
- ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: หากได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาผู้บริโภค หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้ช่วยดำเนินการตามกฎหมาย
การดำเนินการของ คคบ. ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค และเป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
















