กสม. ชี้อดีตผู้บริหารบริษัทใหญ่ได้รับการรักษาพยาบาลและการปฏิบัติที่ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น เป็นการเลือกปฏิบัติ แนะ ตร. – ราชทัณฑ์สอบข้อเท็จจริงดำเนินการตามกฎหมาย – ตรวจสอบกรณีพิพาทการออก น.ส.ล. ที่สาธารณประโยชน์ จ.สุราษฎร์ธานี ทับที่ทำกินชุมชนไทดำ แนะหน่วยงานเร่งรังวัดสอบเขตที่ดินและไม่บังคับขับไล่ชุมชนจนกว่าจะได้ข้อยุติ
วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 27/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
กสม. ตรวจสอบกรณีพิพาทการออก น.ส.ล. ที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอตอนใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ทับที่ทำกินชุมชนไทดำ แนะหน่วยงานเร่งรังวัดสอบเขตที่ดินและไม่ขับไล่ชุมชนจนกว่าจะได้ข้อยุติ
นายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากการออกหน่วยคลินิกสิทธิมนุษยชน ของ กสม. เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ระบุว่า ผู้ร้องเป็นตัวแทนชุมชนไทดำหมู่ที่ 4 (บ้านใต้ท่า) ตำบลทรัพย์ทวี อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ผู้ถูกร้องทั้งสาม ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอบ้านนาเดิม และองค์การบริหารส่วนตำบลทรัพย์ทวี (อบต. ทรัพย์ทวี) ไม่รังวัดสอบเขตเพื่อเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงทุ่งปากขอตอนใต้ จำนวน 2 ฉบับ ซึ่งออกทับที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน อีกทั้งไม่จัดให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ถนน) แก่ชุมชนไทดำ จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า ที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอตอนใต้ (พื้นที่พิพาท) มีการออก น.ส.ล. 2 ฉบับ ฉบับแรกออกเมื่อเดือนมกราคม 2547 เนื้อที่ราว 2,444 ไร่ และฉบับที่สองออกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 เนื้อที่ราว 1,240 ไร่ เมื่อปี 2564 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ น.ส.ล. ทั้งสองฉบับทั้งระดับจังหวัดและระดับอำเภอเพื่อให้ทราบว่าที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอตอนใต้ทับที่ทำกินของชุมชนไทดำหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี หรือไม่ โดยมีตัวแทนของชุมชนไทดำเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน กสม. เห็นว่าผู้ถูกร้องทั้งสามได้พยายามแก้ไขปัญหามาโดยตลอด โดยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหากรณีชุมชนไทดำ หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี และได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์ตาม น.ส.ล. ทั้งสองฉบับต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาบ้านนาสารแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากข้อขัดข้องเรื่องสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปและปัญหาอุทกภัยทำให้หลักหมุดหายไปบางส่วน ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนประเด็นการจัดให้มีถนนแก่ชุมชนไทดำนั้น จากการตรวจสอบปรากฏว่า อบต. ทรัพย์ทวี ผู้ถูกร้องที่ 3 ได้ดำเนินการปรับปรุงถนนให้แก่ชุมชนไทดำ หมู่ที่ 4 มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 โดยขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าไม้ และขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เพื่อก่อสร้างถนนคอนกรีตจากทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทั้งยังได้เสนอโครงการขอสนับสนุนงบประมาณจากอำเภอบ้านนาเดิมเพื่อซ่อมแซมถนนบริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี ที่ชำรุดเนื่องจากน้ำท่วมขังด้วย ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม กสม. เห็นว่า แม้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามจะมีหน้าที่ดูแลรักษา และคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตาม น.ส.ล. และศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำพิพากษาเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ยกฟ้องหน่วยงานของรัฐตามกรณีที่ประชาชนไทดำ 8 ราย ยื่นฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากถูกเข้าทำลายพืชผลซึ่งปลูกอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและยังไม่มีการออกโฉนดชุมชน แต่ในคำพิพากษาดังกล่าวศาลปกครองนครศรีธรรมราชมิได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาว่าชุมชนไทดำทำประโยชน์ในพื้นที่พิพาทมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรกหรือไม่ อีกทั้งกรณีนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง และปัญหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย กสม. จึงเห็นว่า หากผู้ถูกร้องทั้งสามจะดำเนินการขับไล่ชุมชนไทดำให้ออกจากพื้นที่อาจเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในความปลอดภัยของบุคคล สิทธิในการไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัว ครอบครัว และ เคหสถาน หรือสิทธิในการครอบครองอย่างสงบของผู้ร้องและชุมชนไทดำ อีกทั้งการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการถือครองที่ดิน (secure tenure) และการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้อย่างเพียงพอซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำรงชีพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของประชาชน ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ผู้ถูกร้องที่ 1) อำเภอบ้านนาเดิม (ผู้ถูกร้องที่ 2) และ อบต. ทรัพย์ทวี (ผู้ถูกร้องที่ 3) รวมทั้งสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) เพื่อดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 และที่ 3 เร่งรัดการนำชี้แนวเขตเพื่อรังวัดสอบเขตที่ดินตาม น.ส.ล. ทั้งสองฉบับที่เป็นข้อพิพาท และเสนอผลการรังวัดพื้นที่ดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ฯ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาโดยเร็ว
ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 กำกับดูแลไม่ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 และที่ 3 ดำเนินการบังคับขับไล่ชุมชนไทดำ หมู่ที่ 1 และ หมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี ออกจากพื้นที่จนกว่าคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ฯ กระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวแล้วเสร็จ และให้เร่งรัดการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 งบอุดหนุนเฉพาะกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อก่อสร้างถนนคอนกรีตบริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี ให้แก่ผู้ถูกร้องที่ 3 ทั้งนี้ ให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) เร่งรัดการอนุญาตให้ผู้ถูกร้องที่ 3 ใช้พื้นที่ป่าไม้ บริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี เพื่อก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ถนน) โดยเร็วด้วย





