เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 15 ส.ค.68 ที่บริเวณด้านหน้าศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กลุ่มองค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) นำโดย นายประพันธุ์ กิตติฤดีกุล เลขาธิการองค์กรฯ พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่มชาวพุทธทั่วประเทศ ได้รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เรียกร้องให้หยุดการใช้กฎหมายที่อาจส่งผลกระทบและทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยมี พ.ต.อ.ธนาทัศน์ ศรีพิพัฒน์ ผกก.2 บก.ปคบ. นายตำรวจเวร เป็นผู้รับหนังสือแทน ผบช.ก.
โดยระบุถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าขอข้อมูลส่วนตัวของพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ โดยกลุ่ม อปพส. มองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากพระภิกษุสามเณรมีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นพลเมืองไทยเช่นเดียวกับคนทั่วไป การจะตรวจสอบหรือเข้าค้นจะต้องมีหลักฐานที่เชื่อมโยงกับการกระทำความผิดและต้องมีหมายศาลทุกครั้ง
นอกจากนี้ ในหนังสือยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญหลายประการ ได้แก่
-มาตรการตรวจสอบ เสนอให้การตรวจสอบประวัติพระภิกษุสามเณรที่สำนักงานพระพุทธศาสนาส่งข้อมูลให้ ควรตรวจสอบเฉพาะรูปที่เข้าข่ายกระทำความผิดและมีหมายศาลแล้วเท่านั้น
-การปกป้องข้อมูลส่วนตัว เรียกร้องให้มีมาตรการรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของพระภิกษุสามเณรรั่วไหลไปในทางมิชอบ โดยให้พิจารณาลงโทษถึงขั้นให้ออกจากราชการ
-การเข้าตรวจสอบวัด การเข้าตรวจสอบวัดต้องมีหนังสือแจ้งเจ้าคณะปกครองสงฆ์ทุกระดับชั้นก่อน เนื่องจากวัดถือเป็นนิติบุคคล หากไม่มีเหตุอันควรสงสัยในตัวเจ้าอาวาส วัดควรมีสิทธิ์แจ้งความดำเนินคดีฐานบุกรุกได้
-ความเป็นธรรมและความเท่าเทียม เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ใช้ความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในการตรวจสอบ หากมีการตรวจสอบพระภิกษุในศาสนาพุทธ ผู้นำและนักบวชของทุกศาสนาในประเทศไทยก็ควรได้รับการตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลเข้าระบบเช่นเดียวกัน
-การถูกจำกัดสิทธิทางกฎหมาย คัดค้านพฤติกรรมของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ให้พระที่ถูกกล่าวหาในคดีต่างๆ ตั้งทนายสู้คดี ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
-ผลกระทบต่อภาพรวมของศาสนา วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่บางท่านที่ไม่ให้สร้างวัดเพิ่ม และการให้ข่าวที่ผ่านมาที่ไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายในภาพรวมของพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจบ่อนทำลายความศรัทธาและความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ
-การจับพระสึก ลาสิกขาบท เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นจำเลยเบื้องต้น ตำรวจจะจับพระสึกทันที โดยอ้างว่ากลัวหลบหนี จะทำลายพยานหลักฐานควรมี อัยการ ผู้พิพากษา และ
เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ในพื้นที่ ร่วมพิจารณาทุกครั้งไป ตำรวจจะทำการโดยลำพังมิได้ กรณีพระราชาที่ถูกกล่าวหาจะต้องมีการกราบบังคมทูลให้มีพระบรมราชานุญาต
-ข้าราชการประจำ และข้าราชการฝ่ายการเมือง ที่ลาเพื่ออุปสมบทเกินสามเดือนให้ถือว่าเป็นการลาราชการไม่ถือว่าขาดสมาชิกภาพ
-กฎหมายรัฐธรรมนูญพระราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ.2560 ในมาตรา 96
ได้กำหนดให้พระภิกษุ สามเณร ในทางพระพุทธศาสนา ไม่มีสิทธิการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของความเป็นไทย ที่ควรจะเป็น
-เพื่อป้องกันและแก้ความสับสน เรื่องการบริหารโรงเรียนวัดในประเทศไทย ควรให้มีผู้อำนวยการอยู่ในโรงเรียนที่สังกัดอยู่ในวัดต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้น เพื่อความเป็นเอกภาพ และมีประสิทธิภาพในการบริหารงาน
นายประพันธุ์ กล่าวว่า การรวมตัวครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อหยุดยั้งการใช้กฎหมายที่อาจทำลายความศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยในวันเดียวกันนี้ (15 ส.ค. 68) ช่วงเช้ากลุ่ม อปพส. ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และช่วงบ่ายได้ยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก่อนที่จะเดินทางมายื่นหนังสือที่ บช.ก. ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน หลังยื่นหนังสือแล้ว พ.ต.อ.ธนาทัศน์ พาตัวแทนเข้าไปพูดคุยกันต่อภายใน ศูนย์รับแจ้งความฯ



















