บริการ Ride Sharing หรือรถยนต์/รถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยมานานหลายปี ด้วยความสะดวกและราคาที่เข้าถึงได้ง่าย จากข้อมูลของ Statista คาดการณ์ว่าตลาดบริการเรียกรถโดยสารของไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะมีผู้ใช้งานถึง 15.16 ล้านคนภายในปี 2572
อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่รวดเร็วนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งเรื่องความปลอดภัย, ความเป็นธรรมในการคิดค่าโดยสาร และช่องทางการร้องเรียนที่ไม่ชัดเจน ทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ETDA และกรมการขนส่งทางบก ต้องเข้ามาวางกติกาใหม่เพื่อยกระดับมาตรฐาน ล่าสุดจึงมีการออก ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ซึ่งกำหนดให้แพลตฟอร์ม Ride Sharing มี “หน้าที่เพิ่มเติม” ที่มากกว่าแค่การเป็นตัวกลาง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการมากขึ้น
แล้วภายใต้ประกาศฉบับใหม่นี้ แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องทำอะไร และได้ประโยชน์อะไรบ้าง?
‘แพลตฟอร์ม Ride Sharing’ มีหน้าที่เพิ่มเติม! จากตัวกลางสู่ผู้กำกับดูแล
จากเดิมที่เคยทำหน้าที่เป็นเพียง ‘ตัวกลาง’ เชื่อมต่อระหว่างไรเดอร์และผู้โดยสาร แต่เมื่อประกาศฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2568 แพลตฟอร์มจะต้องมีบทบาทในการ ‘กำกับดูแลและควบคุม’ การให้บริการมากขึ้น เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ โดยหน้าที่สำคัญของแพลตฟอร์ม ได้แก่:
-ตรวจสอบและยืนยันตัวตน: ต้องมีการตรวจสอบยืนยันตัวตนทั้งไรเดอร์และผู้โดยสารอย่างเข้มงวด เช่น ชื่อ-นามสกุล, เลขบัตรประชาชน, และใบอนุญาตขับรถ โดยหากมีการสมัครแบบไม่เจอหน้ากัน ต้องใช้ระบบ Digital ID ที่น่าเชื่อถืออย่าง ThaID และมีการยืนยันตัวตนทุกครั้งที่เข้าใช้งาน
-ควบคุมมาตรฐานรถและคนขับ: บริการต้องใช้รถที่จดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ และคนขับต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะที่ถูกต้องตามเงื่อนไขของกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
-แสดงข้อมูลอย่างโปร่งใส: เมื่อผู้โดยสารเรียกใช้บริการ ต้องแสดงข้อมูลสำคัญของไรเดอร์ (ชื่อ, รูปถ่าย, เลขใบอนุญาต), ข้อมูลรถ, ตำแหน่ง GPS, จุดรับ-ส่ง, ระยะทาง, เวลา และค่าโดยสารอย่างชัดเจน
-มีช่องทางช่วยเหลือและระงับข้อพิพาท: ต้องมีระบบให้ไรเดอร์และผู้โดยสารแจ้งเหตุฉุกเฉิน, ขอความช่วยเหลือ หรือร้องเรียนได้ทันที รวมถึงมีกลไกแก้ไขปัญหาและระงับข้อพิพาทที่เป็นธรรม
มีมาตรการลงโทษและป้องกันการทำผิด: แพลตฟอร์มต้องควบคุมไม่ให้ไรเดอร์ทำผิดเงื่อนไข เช่น ให้บริการนอกพื้นที่ที่กำหนด หรือใช้บัญชีแทนกัน พร้อมมีมาตรการตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิดเพื่อป้องกันการกระทำซ้ำ ‘ไรเดอร์’ ต้องพร้อม! เพื่อยกระดับอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคง
แม้ประกาศฉบับใหม่จะไม่ได้บังคับใช้กับไรเดอร์โดยตรง แต่การที่แพลตฟอร์มมีการปรับกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ไรเดอร์ต้องปรับตัวเช่นกัน เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน โดยสิ่งที่ไรเดอร์ต้องเตรียมพร้อมมีดังนี้:
-รถและใบอนุญาตต้องถูกต้องตามกฎหมาย: รถที่ใช้ขับให้บริการต้องจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ และคนขับต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะอย่างถูกต้อง
-ผ่านการยืนยันตัวตน: ต้องผ่านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทั้งตอนสมัครและทุกครั้งก่อนเข้าใช้งาน
-ห้ามใช้บัญชีขับรถแทนกัน: ห้ามนำบัญชีผู้ขับไปให้คนอื่นใช้ หรือรับงานนอกระบบอย่างเด็ดขาด
นอกจากข้อบังคับแล้ว ประกาศฯ นี้ยังสร้างโอกาสให้กับไรเดอร์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือที่ส่งผลให้มีลูกค้ามากขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น, มีสิทธิเลือกรับหรือยกเลิกงานที่ไม่เหมาะสมได้ตามเงื่อนไข, และมีช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือขอความช่วยเหลือจากแพลตฟอร์มได้โดยตรง ‘ผู้โดยสาร’ ได้ประโยชน์สูงสุด กับบริการที่ปลอดภัยและวางใจได้
เมื่อแพลตฟอร์มมีแนวทางในการกำกับดูแลที่รัดกุม กลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือ ‘ผู้โดยสาร’ เพราะมาตรการทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย, ความโปร่งใส และความสะดวกในการใช้บริการ ผู้โดยสารจะได้รับประโยชน์ดังนี้:
-ปลอดภัยมากขึ้น: ได้ใช้บริการจากคนขับที่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะและรถที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงสามารถตรวจสอบตัวตนของไรเดอร์ได้อย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจใช้บริการ
-โปร่งใสและเป็นธรรม: ทุกการเดินทางจะแสดงรายละเอียดค่าโดยสาร, ระยะทาง, และเวลาเดินทางล่วงหน้าอย่างชัดเจน ลดปัญหาการคิดค่าโดยสารที่ไม่เป็นธรรม
-มีช่องทางคุ้มครองสิทธิ: สามารถติดตามเส้นทางแบบเรียลไทม์ (GPS Tracking) ได้ และมีช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือร้องเรียนได้ทันที พร้อมกลไกแก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุไม่คาดคิด
ประกาศฉบับใหม่นี้ไม่ได้เป็นแค่กฎหมาย แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานของบริการ Ride Sharing ให้มีความน่าเชื่อถือในทุกมิติ ทั้งยังเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ, แพลตฟอร์ม, และผู้บริโภค เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต



