เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ก.ย.68 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.นิภา (นามสมมติ) อายุ 35 ปี ผู้ค้า ชาวปทุมธานี พร้อมด้วย จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ และ อาจารย์มานพ สีเหลือง เดินทางเข้าร้องเรียน พันธพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม หลังถูกแก๊งรับจำนำรถยึดรถเก๋งไปนานกว่า 1 ปี โดยไม่ยอมให้ไถ่ถอนคืน ทำให้ต้องผ่อนค่างวดรถฟรีมาตลอด
น.ส.นิภา เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 เธอต้องการเงินด่วนจึงค้นหาในเฟซบุ๊ก และพบเพจ “รับจำนำรถยนต์ย่านสระบุรี” ก่อนตัดสินใจติดต่อเพื่อจำนำรถเก๋งฮอนด้าที่กำลังผ่อนอยู่ โดยตกลงวงเงินจำนำ 38,000 บาท และจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 2,000 บาท แต่เมื่อถึงวันส่งมอบรถ กลับถูกหักค่าบริการต่างๆ อีก 3,000 บาท ทำให้ได้รับเงินจริงเพียง 35,000 บาท
หลังจากนั้น น.ส.นิภา ได้โอนเงินดอกเบี้ยเดือนละ 2,000 บาท ผ่านบัญชีของหนึ่งในทีมรับจำนำรถเป็นเวลา 4 เดือน ก่อนจะมีการเปลี่ยนมือให้นายทุนรายที่สอง และเพิ่มยอดดอกเบี้ยเป็นเดือนละ 5,000 บาท ซึ่งเธอกับแฟนต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาผ่อนรถทั้ง 2 ทาง คือค่างวดไฟแนนซ์เดือนละกว่า 4,000 บาท และค่างวดกับนายทุนรายใหม่เดือนละ 5,000 บาท
จนกระทั่งเดือนเม.ย.68 น.ส.นิภา และแฟนสามารถรวบรวมเงินได้ 40,000 บาท เพื่อนำไปไถ่ถอนรถคืน แต่เมื่อติดต่อนายทุนทั้งสองคน กลับถูกบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่ถอนได้ เมื่อสืบหาข้อมูลตามชื่อบัญชีที่โอนเงินไปก็พบว่ารถของเธอถูกนำไปจอดไว้ที่สถานีดับเพลิงคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี แต่เมื่อปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ กลับได้รับแจ้งว่าเธอไม่ใช่เจ้าของรถที่แท้จริง เนื่องจากชื่อยังเป็นของไฟแนนซ์ จึงไม่สามารถดำเนินคดีได้ ทำให้เธอตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเพจ “จ่าคิงส์ สะพานใหม่”
ด้าน อาจารย์มานพ สีเหลือง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรณีนี้เข้าข่ายความผิดอาญาฐาน ยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เนื่องจากผู้รับจำนำได้รับรถไปโดยชอบ แต่กลับไม่ยอมคืนเมื่อเจ้าของนำเงินมาไถ่ถอน ถือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมิชอบ
นอกจากนี้ ยังมีข้อควรระวังสำหรับประชาชนที่ต้องการจำนำรถว่า
-การจำนำรถในลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพมักใช้หลอกลวงผู้ที่เดือดร้อนทางการเงิน
-หากไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร จะทำให้เจ้าของรถเสียเปรียบและอาจถูกกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมได้
-อัตราดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน หรือ 120% ต่อปี ถือว่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (ไม่เกิน 15% ต่อปี) ซึ่งส่วนที่เกินจากกฎหมายนี้จะถือเป็นโมฆะและไม่ได้รับการคุ้มครอง
อาจารย์มานพ ย้ำว่า หากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรรวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วน ทั้งสัญญา แชตการสนทนา และสลิปการโอนเงิน ก่อนนำไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้ตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานที่ น.ส.นิภา นำมา และจะหาช่องทางประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายต่อไป























