วันพฤหัสบดี, กันยายน 18, 2025
หน้าแรกท้องถิ่นกสม. แนะกรมชลประทานแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจากการบริหารจัดการน้ำเขื่อนสามแห่งในแม่น้ำชีโดยประชาชนผู้ใช้น้ำมีส่วนร่วม และเร่งเยียวยาผู้เสียหายทั้งในและนอกเขตชลประทาน

Related Posts

กสม. แนะกรมชลประทานแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากจากการบริหารจัดการน้ำเขื่อนสามแห่งในแม่น้ำชีโดยประชาชนผู้ใช้น้ำมีส่วนร่วม และเร่งเยียวยาผู้เสียหายทั้งในและนอกเขตชลประทาน

นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายชาวบ้านลุ่มน้ำชีจังหวัดยโสธรและร้อยเอ็ดผ่านสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ระบุว่า ชาวบ้านลุ่มน้ำชีได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของกรมชลประทาน (ผู้ถูกร้อง) ในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนกั้นแม่น้ำชีรวม 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ส่งผลให้น้ำท่วมพื้นที่การเกษตรซ้ำซากและยาวนานกว่าปกติ โดยมีสาเหตุจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด รวมถึงโครงสร้างที่มากับการก่อสร้างเขื่อนข้างต้น เช่น คันกั้นน้ำที่สร้างปิดกั้นเส้นทางการไหลของน้ำและประตูระบายน้ำที่สร้างไม่สัมพันธ์กับทิศทางการไหลของน้ำ จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงของทุกฝ่าย หลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า กรมชลประทาน ผู้ถูกร้อง มีหน้าที่กัก เก็บ รักษา ควบคุม ส่ง ระบายหรือจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม การสาธารณูปโภค รวมทั้งป้องกันความเสียหายอันเกิดจากน้ำ อาทิ น้ำท่วม น้ำแล้ง รวมถึงความปลอดภัยของเขื่อน และอาคารประกอบ ปี 2546 กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้ส่งมอบเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย ให้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน โดยกรมชลประทานได้มีการแก้ไขบานระบายน้ำจากบานไฮดรอลิคเป็นบานแขวน เนื่องจากการเปิดปิดบานไม่สอดคล้องกับสภาพการระบายน้ำธรรมชาติ และปรับปรุงบานระบายน้ำให้เปิดใช้งานได้ครบทุกบานเพื่อให้สามารถระบายน้ำได้อย่างสะดวก รวมถึงปรับปรุงวิธีการและช่วงเวลาเปิดปิดบานระบายน้ำโดยได้จัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำประกอบด้วย หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เพื่อให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา พื้นที่การเกษตรในจังหวัดร้อยเอ็ดและยโสธรเกิดปัญหาน้ำท่วม สาเหตุจากพนังกั้นน้ำและบานระบายน้ำไม่สัมพันธ์กับทิศทางของน้ำ เป็นเหตุให้น้ำไหลช้าและท่วมขัง แม้ว่ากรมชลประทานจะระบุว่าได้มีการแก้ไขปัญหาโดยปรับปรุงบานระบายน้ำและได้จัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมภายหลังก่อสร้างโครงการทั้งสามแห่ง (Post–EIA) ซึ่งมีการศึกษาระหว่างเดือนตุลาคม 2561 – สิงหาคม 2562 พบว่ามีประเด็นที่ไม่ปรากฏว่ากรมชลประทานได้ดำเนินการเกี่ยวกับโครงสร้างเขื่อนและคันกั้นน้ำ และการบริหารจัดการเขื่อน เช่น โครงการศึกษาเพื่อเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนทั้ง 3 แห่ง และการลดผลกระทบน้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำชี ทั้งที่เวลาได้ล่วงเลยมากว่า 6 ปีแล้ว และปัญหาน้ำท่วมยังคงอยู่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่การเกษตร และเกษตรกรโดยเฉพาะผู้ที่อยู่นอกเขตชลประทานสูญเสียโอกาสในการเก็บเกี่ยวผลผลิตมายาวนานนับสิบปี จึงรับฟังได้ว่ากรมชลประทานมีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนทั้ง 3 แห่ง

ส่วนประเด็นการเยียวยาความเสียหายนั้น ปรากฏว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ให้ชดเชยและเยียวยาความเสียหาย โดยแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการก่อสร้างเขื่อนทั้ง 3 แห่ง และต่อมาได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหลายชุดเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหา ซึ่งรวมถึงคณะอนุกรรมการประจำจังหวัดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและรับรองรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยาโดยมีกรมชลประทานเป็นฝ่ายเลขานุการ ซึ่งในส่วนของจังหวัดร้อยเอ็ดได้มีการรับรองรายชื่อและอนุมัติจ่ายเงินเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ รวมกว่า 740 ราย และจังหวัดยโสธรมีการรับรองรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยารอบที่หนึ่งกว่า 440 ราย และอยู่ระหว่างรับรองรายชื่อรอบที่สอง 75 ราย โดยอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีจัดสรรงบกลางเพื่อเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งจะมีการสำรวจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนทั้ง 3 แห่ง รายใหม่ต่อไป ซึ่งกรมชลประทานจำเป็นต้องเร่งสำรวจผู้ได้รับผลกระทบนอกเขตชลประทานร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ำสำหรับพื้นที่นอกเขตชลประทาน โดยเร็วต่อไป

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังกรมชลประทาน ผู้ถูกร้อง ให้นำโครงการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมภายหลังการก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำชี (Post-EIA) เป็นแนวทางประกอบการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนแห่งอื่นในแม่น้ำชี และร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำชี โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน พร้อมกันนี้ให้เร่งรัดเสนอ ครม. จัดสรรงบกลางเพื่อเบิกจ่ายเงินค่าชดเชยและเยียวยาความเสียหายของผู้ได้รับผลกระทบในจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดยโสธรต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายร้อยเอ็ด โครงการฝายยโสธร-พนมไพร และโครงการฝายธาตุน้อยสั่งการให้มีการสำรวจรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบรายใหม่ทั้งในและนอกเขตชลประทาน ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติทบทวนและแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำชี โดยพิจารณาให้มีตัวแทนองค์กรผู้ใช้น้ำทั้งในและนอกเขตชลประทานร่วมบริหารจัดการลุ่มน้ำชี

และให้กรมทรัพยากรน้ำร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่นอกเขตชลประทานเกี่ยวกับผลกระทบและแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำชี เพื่อนำไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการลุ่มน้ำชีไปพลางก่อน ในระหว่างที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำชียังไม่แล้วเสร็จ พร้อมทั้งร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร รวมถึงอุปกรณ์เพื่อดำเนินการตามแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำชีในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ประสบภัยน้ำแล้งและน้ำท่วมนอกเขตชลประทานและประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรผู้ใช้น้ำนอกเขตชลประทาน ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) ของกรมทรัพยากรน้ำด้วย

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts