เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ก.ย.68 ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กทม.นายกฤษฎา อินทามระ หรือทนายปราบโกง พร้อมด้วยสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการท่าเรือแห่งประเทศไทยกว่า 100 คน เดินทางมาติดตามความคืบหน้าและยื่นเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติม กรณีเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงานการท่าเรือฯ มูลค่ากว่า 4,259 ล้านบาท มีข้อสงสัยว่าเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินและยักยอกทรัพย์หรือไม่
นายกฤษฎา เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเป็นเรื่องสืบสวนที่ 190/2565 ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2565 แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า จึงจำเป็นต้องนำสมาชิกผู้เสียหายมาติดตามและยื่นหลักฐานเพิ่มเติม โดยหลักฐานสำคัญคือรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2549 ตามรายงานของ สตง. ระบุว่า เงินประเดิมจำนวน 4,259.04 ล้านบาท ที่การท่าเรือฯ จัดสรรไว้เป็นเงินประเดิมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กลับไม่ได้ถูกนำเข้ากองทุนทันที แต่ใช้วิธีทยอยตัดจ่ายเป็นงวด 5 ปี ซึ่ง สตง. ได้ทักท้วงว่าไม่เป็นไปตามหลักการบัญชีที่ยอมรับทั่วไป การกระทำดังกล่าวทำให้เงินส่วนหนึ่งอาจถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น และส่งผลให้สมาชิกกองทุนกว่า 2,000 คน ได้รับเงินสิทธิประโยชน์ล่าช้าและสูญเสียดอกผล
นายกฤษฎา ระบุว่า การกระทำของการท่าเรือฯ และผู้เกี่ยวข้องถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และอาจเข้าข่ายความผิดหลายข้อหา เช่น
-ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 (ยักยอกหรือเบียดบังทรัพย์), มาตรา 151 (ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ), และมาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ)
-พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 และ 5 (ปกปิดหรืออำพรางที่มาของทรัพย์สิน)
-พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 11 และ 12 (จัดทำบัญชีไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง)
-ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (การกระทำละเมิด)
นายกฤษฎา จึงเรียกร้องให้ดีเอสไอรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ และมีคำสั่งริบเงินจำนวน 4,259.04 ล้านบาท หรือทรัพย์สินที่แปลงสภาพมาจากเงินจำนวนนี้ และขอให้การท่าเรือฯ ชดใช้ค่าเสียหายแก่สมาชิกกองทุนฯ กว่า 2,000 คน เป็นเงินคนละ 5 ล้านบาท หากไม่มีการชดใช้ จะขอให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกคนอย่างเด็ดขาด
ทนายปราบโกง ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า หากดีเอสไอไม่ดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้า ตนจะนำสมาชิกกองทุนฯ ไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ต่อไป เนื่องจากเรื่องนี้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบการเงินและสวัสดิการของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม
โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ (ดีเอสไอ) เป็นผู้รับเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป


















