ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและส่งออกเครื่องปรับอากาศชั้นนำระดับโลก คว้ารางวัล “อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับ 5” (Greenต Industry Level 5) ประจำปี 2568 ระดับสูงสุดของกระทรวงอุตสาหกรรม ตอกย้ำบทบาทองค์กรต้นแบบด้านโรงงานสีเขียว และการผสานความยั่งยืนเข้ากับการดำเนินธุรกิจทุกมิติ ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็ง และวัฒนธรรมองค์กรที่มี “ความยั่งยืน” เป็น DNA ฝังในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงาน
รางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 5 ถือเป็นสัญลักษณ์ยืนยันว่าไดกิ้นสามารถสร้างเครือข่ายสีเขียว หรือ “Green Network” ได้อย่างครบวงจร โดยไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการผนวกรวมความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการธุรกิจ ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การใช้พลังงาน ไปจนถึงการเชื่อมโยงกับสังคม ทำให้โรงงานของไดกิ้นก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตและส่งออกที่ได้มาตรฐานระดับสากล
นายวัลลภ พ่วงไพโรจน์ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปอาวุโส บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เป้าหมายของไดกิ้นคือการบรรลุ Net Zero CO2 Emissions ภายในปี 2030 ซึ่งวันนี้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้วกว่า 41% เมื่อเทียบจากปีฐาน (2019) ซึ่งดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และในปี 2025 นี้ เราตั้งเป้าจะลดให้ได้ถึง 50% ก่อนมุ่งสู่ Net Zero อย่างสมบูรณ์ ความสำเร็จนี้เกิดจากการสร้างวัฒนธรรมสีเขียว ที่ทุกคนในองค์กรเข้าใจตรงกันและลงมือทำอย่างจริงจัง โดยเริ่ตจยมจากตัวเองจนกลายเป็นพลังร่วม ที่ทำให้ทุกกระบวนการและกิจกรรมของไดกิ้นสร้างผลลัพธ์เพื่อโลกที่ดีกว่าได้จริง”
ความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมของไดกิ้นเกิดจากกลยุทธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เริ่มจากการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ผ่านการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปกว่า 5.7 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็น 13% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ IoT Visualization มาใช้ ในการวิเคราะห์ และค้นหาปัญหาการใช้พลังงานต่าง ๆ พร้อมกับจัดกิจกรรม “Energy Day” ส่งเสริมให้พนักงานใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ 1.6 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี
อีกด้านของความสำเร็จ คือ การยกระดับเทคโนโลยีการผลิต เช่น การเปลี่ยนฮีตเตอร์ระบบไฟฟ้าเป็น Infrared Heater ซึ่งช่วยลดพลังงานได้กว่า 45% ของฮีตเตอร์เดิม, การพิจารณานำความร้อนสูญเปล่าวนกลับมาใช้ใหม่, การนำหุ่นยนต์อัตโนมัติมาใช้ในงานเชื่อมชิ้นส่วนเพื่อลดความสูญเสียและเพิ่มความปลอดภัย, การเปลี่ยนรถโฟล์คลิฟต์ไปใช้แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลง และการจัดการสารทำความเย็นอย่างเข้มงวดด้วยระบบ Recovery 100% ควบคู่กับกระบวนการ Reclamation ที่นำสารทำความเย็นกลับมาใช้ใหม่เพื่อลดผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศ
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือการลดก๊าซเรือนกระจกลงเหลือ 19,065 ตัน ในปี 2024 หรือลดลงกว่า 41% จากปีฐาน ขณะที่การใช้ไฟฟ้าลดเหลือ 971 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อ MB หรือลดลง 19% จากปีฐาน และการใช้ LPG ลดลงเหลือ 22.82 กิโลกรัมต่อ MB หรือลดลงกว่า 30.5% ในเวลาเพียง 4 ปี ซึ่งตลอดการดำเนินการที่ผ่านมา ตัวเลขการลดใช้พลังงานนี้สามารถเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 240,000 ต้น สะท้อนว่าไดกิ้นไม่ได้เพียงตั้งเป้าหมาย แต่ลงมือทำจนเห็นผลเป็นรูปธรรม
ส่วนในมิติการใช้ทรัพยากร โรงงานสามารถลดการใช้น้ำเหลือ 4.35 ลูกบาศก์เมตรต่อ MB พร้อมรีไซเคิลน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้สูงถึง 45,100คตน ลูกบาศก์เมตรต่อปี ลดการเกิดขยะอุตสาหกรรมด้วยระบบจัดการ 4Rs (Reduce, Reuse, Recycle, Recover) สามารถลดของเสียในกระบวนการต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถควบคุมการปล่อยสาร VOC ให้อยู่ที่ 10.65 กิโลกรัมต่อหนึ่งตันอะลูมิเนียม ดีกว่ามาตรฐานที่กำหนดอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ทำให้โรงงานของไดกิ้นก้าวสู่การเป็น “โรงงานสะอาดและยั่งยืน” อย่างแท้จริง
ที่สำคัญ ไดกิ้นยังขยายผลด้านความยั่งยืนออกไปนอกองค์กรอย่างเป็นระบบ ผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่
- คู่ค้า (Suppliers): ส่งเสริมให้คู่ค้ากว่า 442 ราย ผ่านการรับรอง Green Industry ระดับ 2 ขึ้นไป พร้อมจัดสัมมนา Carbon Neutral Curriculum เพื่อช่วยผู้ส่งมอบวัดและรายงานปริมาณการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ และใช้นโยบาย Green Procurement กำหนดให้การจัดหาชิ้นส่วนและวัตถุดิบต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำ
- ลูกค้า (Customers): ถ่ายทอดความรู้ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนการเลือกใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน โดยทำงานร่วมกับดีลเลอร์ในการจัดกิจกรรมเพื่อขยายผลการลดคาร์บอนในครัวเรือนและองค์กร
- ผู้บริโภค (Consumers): ให้ความรู้ในการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องเพื่อยืดอายุการใช้งาน และส่งเสริมการรีไซเคิลสารทำความเย็นผ่านโครงการ Reclamation เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ชุมชน (Communities): จัดโครงการ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น อบรมด้านพลังงานและการจัดการทรัพยากรในโรงเรียนและชุมชนรอบโรงงาน พร้อมสร้าง “Green Network” ที่เชื่อมโยงพนักงาน ชุมชน และพันธมิตร เพื่อสร้างวัฒนธรรมสีเขียวที่ขยายสู่สังคมโดยรวม
“การได้รับรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 5 ในปี 2025 นี้ เป็นมากกว่าใบรับรองความสำเร็จ แต่เป็นสัญลักษณ์การก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน สำหรับไดกิ้นแล้ว นี่คือจุดเริ่มต้นของ “Fusion30” หรือแผนงานสู่โรงงานปลอดคาร์บอนเต็มรูปแบบในปี 2030 และเป็นแรงบันดาลใจให้ภาคอุตสาหกรรมไทยและทั่วโลกเห็นว่าการเติบโตสามารถทำควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง” นายวัลลภ กล่าวทิ้งท้าย








