เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 25 ก.ย.68ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นางรรินอรทร์ หรือยุ้ย (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี คนไทยภรรยา นายจอง (นามสมมติ) อายุ 59 ปี ชาวเกาหลีใต้ เดินทางเข้าร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) โดยมี จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ และ อาจารย์มานพ สีเหลือง เป็นผู้ประสานงาน หลังอ้างว่าถูกสองสามีภรรยาคนไทยซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ ยักยอกเงินที่เตรียมไว้ลงทุนทำธุรกิจในไทยไปกว่า 30 ล้านวอน (ประมาณ 800,000 บาท) อีกทั้งยังร้องเรียนว่าคดีที่แจ้งความไว้ที่ สภ.บางแก้ว ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 กลับ ไม่มีความคืบหน้ามานานเกือบ 1 ปี โดยผู้เสียหายระบุว่า ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีบ่ายเบี่ยงและหลอกลวง
น.ส.ยุ้ย ผู้เสียหายเปิดเผยว่า ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยเพื่อรอจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นอ่อนค่า ถ้าแลกจะขาดทุนนับแสนบาท เงินดังกล่าววางแผนจะนำมาลงทุนทำธุรกิจ โดยได้นำฝากเงินไว้กับเพื่อนสนิทคนไทยและสามีของเพื่อนด้วยความไว้ใจอย่างยิ่ง โดยใส่ตู้เซฟไว้ เมื่อจะใช้เงิน เพื่อนสามีภรรยาบ่างเบี่ยง ครั้งแรกอ้างว่าทำกุญแจตู้เซฟหาย รอช่างมาเปิดอยู่ แต่ต่อมากลับพบว่าเพื่อนและสามีได้นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวจนหมดและหลบหนีไป สร้างความเสียหายอย่างหนัก
หลังเกิดเหตุ ตนได้เข้าแจ้งความที่ สภ.บางแก้ว ทันที แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด โดยมีการอ้างว่า “ออกหมายเรียกแล้ว” หรือ “กำลังจะออกหมายจับ” แต่เมื่อตรวจสอบกลับ ไม่พบเลขคดีใดๆ ทั้งสิ้น และทุกครั้งที่ติดตามคดีก็จะได้รับคำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น “ศาลติดสงกรานต์” หรือ “ศาลไม่ว่าง”
น.ส. ยุ้ย เปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้ยังเคยถูกเรียกเงินค่าดำเนินการจำนวน 10,000 บาท เพื่อเร่งรัดคดี ซึ่งสามีชาวเกาหลีไม่ยินยอม ทำให้คดีไม่มีความคืบหน้าใดๆ ได้เพียงใบบันทึกประจำวันเท่านั้น
การเดินทางเข้ามาให้ปากคำถึง 3 ครั้งจากต่างจังหวัดจึงกลายเป็นความสูญเปล่า จึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือจาก “จ่าคิงส์” เพื่อหวังให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าและได้รับความเป็นธรรม
ด้าน อาจารย์ มานพ สีเหลือง ที่ปรึกษา จ่าคิงส์ฯ กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การที่ผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้เลือกฝากเงินก้อนใหญ่ไว้กับเพื่อนคนไทย สะท้อนถึง ‘ความไว้ใจอย่างยิ่ง’ แต่กลับถูกบุคคลที่ได้รับความเชื่อใจนำเงินไปใช้ส่วนตัวจนหมด ซึ่งในทางกฎหมายอาจเข้าข่าย ‘ความผิดฐานยักยอกทรัพย์’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
อาจารย์มานพยังกล่าวเน้นย้ำถึงความเสียหายที่รุนแรงไม่แพ้การสูญเสียเงิน คือ ความเสียหายต่อศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม จากประเด็นที่ผู้เสียหายกล่าวอ้างว่ามีเจ้าหน้าที่บางรายเรียกรับเงิน 10,000 บาท เพื่อเร่งรัดคดี ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สามีชาวเกาหลีใต้ ‘รับไม่ได้’ อย่างยิ่ง เพราะมองว่าเป็นการร่วมกระทำผิด
“หากมีการเรียกรับเงินเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ก็อาจเข้าข่ายผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157 เช่นกัน” อาจารย์มานพกล่าว พร้อมวิงวอนให้ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายช่วย ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยตรง เพื่อรักษาเกียรติของกระบวนการยุติธรรม และให้ความยุติธรรมที่เป็นกลางและโปร่งใสแก่ผู้เสียหายที่ถูกหักหลังในครั้งนี้
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งก่อนประสานไปยังสภ. บางแก้วเพื่อให้เร่งรัดดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สภ.บางแก้ว ภ.จว.สมุทรปราการ ถึงคดีดังกล่าว ระบุว่าได้ตรวจสอบกับพนักงานสอบสวนแล้วยืนยันว่าได้ส่งหมายเรียกไปถึง 2 ผัวเมียที่ผู้ถูกกล่าวหาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน
เช้าวันนี้ตนจึงสั่งให้พนักงานสอบสวนไปดำเนินการขออนุมัติศาลแขวง จว.สมุทรปราการขอออกหมายจับ 2 ผัวเมียข้อหาลักทรัพย์แล้วและจะได้ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป









