เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 6 ต.ค. 68 ที่ ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นางยุพิน (สงวนนามสกุล) และ และ นางแหม่ม (สงวนนามสกุล) ตัวแทนสมาคมพุทธวจนในยุโรป และนายนายนิวัติ (สงวนนามสกุล) ได้เดินทางมายื่นเอกสารหลักฐานเกี่ยว กับข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับจัดงานที่ยุโรป ให้กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. โดยมีพนักงานสอบสวน บก.ปปป.เป็นผู้รับแทน
ก่อนจะให้สัมภาษณ์สื่อฯ เปิดเผยพฤติกรรมของ นางกัญญาภัค ชไมเดอร์ หรือ “สีกายุ” หรือ “สีกาพลอย”
นางยุพิน เปิดเผยว่า เมื่อปี พ.ศ. 2559 นางกัญญาภัคได้ติดต่อมา โดยอ้างเป็นตัวแทนจากภิกขุ โอเคออกแล้วนะอ่านแล้วไม่มีไม่มีแล้วโอเคนะ เพื่อดำเนินการโครงการ “น้อมนำพระธรรมคำสอนตามหลักพุทธวจน สู่ภาคพื้นยุโรป” ซึ่งได้รับความสนใจจากสมาคมพุทธวจนฯ ในยุโรปหลายแห่ง ที่ต้องการมีวัดพุทธในพื้นที่ของตนเอง
เมื่อเริ่มโครงการ นางกัญญาภัคได้ประสานแกนนำสมาคมฯ ในแต่ละประเทศ โดยกำหนดให้พื้นที่ใดที่ต้องการนิมนต์พระไปเผยแพร่พระธรรม จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับคณะที่เดินทางไป 4 คน ซึ่งรวมถึงค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก และค่าอาหาร โดยเน้นย้ำว่าสถานที่พัก ยานพาหนะ รวมถึงสถานที่จัดกิจกรรมต้องดีที่สุด ซึ่งแต่ละสมาคมฯ ต้องเรี่ยไรเงินกันเองเพื่อดำเนินกิจกรรม
“แต่ทุกครั้ง นางกัญญาภัค มักอ้างต่อสาธารณะว่าตนเองเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด” นางยุพินกล่าว
นางยุพินกล่าวต่อว่า หลังจัดกิจกรรม ซึ่งจะมีเงินบริจาคใส่ตู้ นางกัญญาภัคก็จะนำเงินทั้งหมดกลับไป โดยให้คนจัดงานทำหนังสือปวารณายื่นกับพระสงฆ์ และเก็บเงินไปทั้งหมด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า พฤติกรรมของนางกัญญาภัคมีจุดประสงค์เพื่อให้ตนเองเป็น “ศิษย์เอก” เพื่อให้ผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมใด ๆ ในยุโรปต้องดำเนินการผ่านเธอเท่านั้น และหากมีใครเข้ามาดำเนินการโดยไม่ผ่าน นางกัญญาภัคก็จะพยายาม ล้มโครงการนั้น เพื่อเข้ามามีบทบาทแทน
นอกจากนี้ ยังยกตัวอย่างกรณีของ “น้องออย” ซึ่งเป็นผู้พิการทางการพูดในเยอรมนี ที่มีจิตศรัทธาต้องการบริจาคเงิน 1 แสนยูโร หรือกว่า 3.7 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินสร้างวัด แต่กลับถูกนางกัญญาภัคโทรศัพท์กดดัน จนต้องถอนการ
ด้าน นายนิวัติ อดีตผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่เคยมาดักรอ สีกายุ เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 2 ต.ค.เพื่อสอบถามถึงเงิน 10 กว่าล้านบาท ที่เจ้านายตนเคยมอบให้ สีกายุ ไปลงทุน เมื่อปี 63 และเสียชีวิต ปี 65 แต่ไม่มีโอกาสไปพบและสอบถาม วันนี้จึงมาร่วมกับตัวแทนสมาคมพุทธวจนในยุโรป ด้วย
นายนิวัติ กล่าวว่า ผู้เป็นเจ้านายตนประสบปัญหาทางการเงินและได้ขายที่ดินผืนสุดท้ายเพื่อปลดหนี้สิน โดยมีเงินเหลือกว่า 10 ล้านบาท นางกัญญาภัคได้ชักชวนให้ไปร่วมเล่นหุ้นและตีสนิท จนกระทั่งนายทวีศักดิ์ไว้ใจ และมอบหมายให้นางกัญญาภัคเข้าดูแลกิจการแทนในปี 2563
นายนิวัติกล่าวว่า หลังนายทวีศักดิ์เสียชีวิตในเดือนเมษายน ปี 2565 ปรากฏว่า เงินที่ได้จากการขายที่ดิน รวมถึงเงินที่กู้ส่วนตัวกับเพื่อนมาก่อนหน้านี้ 50 ล้านบาท ไม่เหลืออยู่แล้ว ทำให้ในที่สุด บริษัทต้องประสบภาวะล้มละลาย และนายนิวัติก็ถูกเป็นบุคคลล้มละลายตามไปด้วย
สิ่งที่เจ้านายตนสั่งเสียก่อนเสียชีวิตไว้คือให้ตนทวงถามหาเงิน 10 กว่าล้านบาทที่ฝากสีกายุไปลงทุน เพื่อนำกลับมาใช้หนี้สินทางยังติดค้างอยู่ นอกจากนั้นให้นำเงินที่เหลือไปช่วยดูแลบรรดาพนักงานในบริษัทฯ กันเท่าที่จะทำได้ จึงอยากจะมาสอบถามสีกายุ แต่ไม่มีโอกาส ได้แค่ฝากสื่อมวลชนช่วยสอบถามให้ตนด้วย
“ความตั้งใจของผมที่มาในวันนั้น เพื่อทำภารกิจสุดท้ายที่รับปากกับเจ้านายเอาไว้ และ เป็นการ ชี้แจงตัวผมเองที่ถูกหลายๆส่วนมองว่าเป็นผู้ ยักยอก หรือ เบียดบังเงินของเจ้านายไป ในสังคมของ พนักงาน หรือ ทางญาติพี่น้องของเจ้านายที่เสียชีวิตไปแล้ว“
หลังพบ พงส.บก.ปปป.แล้ว ได้รับเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่นำมาเสนอ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อพิจารณาต่อไป


