เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่และคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) รวมพลังจัดกิจกรรม “Thailand Is Not Yours” หน้าทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือถึง “อนุทิน ชาญวีรกุล” นายกรัฐมนตรี คัดค้าน MOU ความร่วมมือด้านแร่ธาตุสำคัญไทย–สหรัฐฯ ชี้เป็นดีลลับที่เปิดทางให้ไทยตกเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมสกปรก พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อตกลงโดยทันที
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ประตู 1 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจาก เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ และ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ได้รวมตัวจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในชื่อ “Thailand Is Not Yours: ปฏิบัติการหยุดดีลลับแร่ธาตุสำคัญ MOU ไทย–สหรัฐฯ” เพื่อคัดค้านบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งรัฐบาลไทยลงนามกับสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ก่อนเริ่มกิจกรรม ผู้ชุมนุมได้จัดการแสดงละครสั้น “สิ่งที่ซ่อนเร้นใน MOU” เพื่อสะท้อนผลกระทบของข้อตกลงดังกล่าว โดยชี้ว่า นอกจากแร่หายากที่ถูกกล่าวถึงอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีแร่สำคัญอีกหลายชนิดที่ซ่อนอยู่ เช่น แร่โปแตชในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งกำลังก่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในพื้นที่ ปิดท้ายด้วยการ “ฉีกเอกสาร MOU กลางที่ชุมนุม” เพื่อแสดงจุดยืนปฏิเสธข้อตกลงดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
ชี้ไทยตกเป็น “อาณานิคมเหมืองแร่” ใต้เงา MOU ไทย–สหรัฐฯ
นาย เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประธาน กป.อพช. และ นางสุภาภรณ์ มาลัยลอย ตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ อ่านแถลงการณ์หัวข้อ “อาณานิคมโดย MOU ไทย–สหรัฐฯ” โดยระบุว่า แม้รัฐบาลอ้างว่า MOU ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เนื้อหาในเอกสารกลับมีผลผูกพันทางปฏิบัติต่อรัฐบาลไทย เพราะกำหนดให้ต้องผลักดันความร่วมมือและการลงทุนตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมแร่ ตั้งแต่การสำรวจ การแต่งแร่ ไปจนถึงการผลิตปลายน้ำ
เครือข่ายฯ ชี้ว่า การลงนามดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างเร่งรัดและ “ไม่โปร่งใส” เพราะมีเพียงนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และรัฐมนตรี 7 กระทรวงร่วมประชุม ครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ก่อนเดินทางไปลงนามในต่างประเทศ ทั้งที่เป็นข้อตกลงซึ่งกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
ชี้ MOU เปิดทาง “อุตสาหกรรมสกปรก” เข้าประเทศ
แถลงการณ์ระบุว่า พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 ซึ่งจะถูกใช้เป็นฐานกฎหมายรองรับ MOU ฉบับนี้ เป็นกฎหมาย “รวมศูนย์อำนาจรัฐและทุน แต่ขาดกลไกตรวจสอบ” ทำให้ไทยไม่เคยมีเหมืองใดที่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จ ข้อตกลงนี้ยังเปิดทางการลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น
- การสำรวจและทำเหมือง
- การแต่งแร่และแยกโลหะหายาก
- การผลิตแม่เหล็กและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- การรีไซเคิลและกำจัดของเสียอุตสาหกรรม
กลุ่มผู้ชุมนุมเตือนว่า หากเดินหน้าตาม MOU ไทยจะกลายเป็น “แหล่งทิ้งของเสียและสารพิษอุตสาหกรรม” ขณะที่สหรัฐฯ ได้ประโยชน์สูงสุดจากการย้ายอุตสาหกรรมสกปรกออกนอกประเทศโดยไม่ต้องรับภาระต้นทุนใด ๆ
ยกกรณี “ยกเลิก MOU ดีอี” เป็นตัวอย่าง
เครือข่ายฯ ยังอ้างอิงกรณีรัฐบาลเพิ่งมีมติ ยกเลิก MOU ระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ กับบริษัท Prime Opportunity Fund VCC จากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังพบปัญหาความโปร่งใสและโยงเครือข่ายฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก โดยระบุว่า รัฐบาลสามารถใช้หลักการเดียวกัน “ยกเลิก MOU แร่ไทย–สหรัฐฯ” ได้เช่นกัน
จี้รัฐเปิดพื้นที่ชุมนุม–หยุดละเมิดสิทธิเสรีภาพ
ด้าน นางปรานม สมวงศ์ จากองค์กร Protection International (PI) ย้ำว่า สิทธิในการชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศ (ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี รัฐจึงมีหน้าที่อำนวยความสะดวก ไม่ใช่ออกคำสั่งจำกัดพื้นที่ 50 เมตรโดยไม่มีฐานกฎหมาย ซึ่งถือเป็น “การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน”
เธอยืนยันว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วประเทศจะยืนเคียงข้างผู้ปกป้องสิทธิชุมชน เพื่อสร้าง “พื้นที่ปลอดภัยทางการเมือง” ให้ประชาชนสามารถแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะได้อย่างเสรี
ประกอบด้วย กลุ่มรักษ์ภูเต่า, กลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย, กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จ.เลย, กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่–ผาจันได, กลุ่มรักษ์ภูซำผักหนาม, เครือข่ายลุ่มน้ำเซิน, กลุ่มฅนรักษ์บ้านด่านขุนทด, กลุ่มรักษ์บ้านแหง, กลุ่มเฝ้าระวังอมก๋อย, เครือข่ายคนดอยเต่าไม่เอาเหมืองแร่, เครือข่ายพิทักษ์เขาเตราะปลิง, มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม, มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ฯลฯ รวมถึงขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทย









