
วันที่ 26 ธันวาคม 2568 — นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ติดตามสถานการณ์มลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และเห็นว่ายังส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสิทธิในการมีสุขภาพที่ดี มาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ และสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
กสม. ระบุว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดจากหลายภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรม การคมนาคม การเกษตร การเผาในพื้นที่ป่า และมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โดยธนาคารโลกประเมินว่า ความเสียหายทางสุขภาพจากมลพิษทางอากาศของไทยมีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านล้านบาท หรือ 3.89% ของ GDP ประเทศ และก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกว่า 2.17 ล้านล้านบาทต่อครัวเรือน
ทั้งนี้ นางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ ประธาน กสม. ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM 2.5 รวม 11 มาตรการสำคัญ ดังนี้
เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ให้มีผลบังคับโดยเร็ว
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568–2570)
พัฒนาฐานข้อมูลคุณภาพอากาศแบบบูรณาการด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม เพื่อระบุแหล่งกำเนิดมลพิษและแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์
กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมงบประมาณและอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่
ทบทวนมาตรการ “ห้ามเผาเด็ดขาด” โดยคำนึงถึงบริบทพื้นที่เกษตรและวิถีไร่หมุนเวียน พร้อมใช้เทคโนโลยี Fire-D จัดการการเผาอย่างยืดหยุ่น
ควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมให้ใช้ระบบตรวจวัดมลพิษแบบต่อเนื่อง (CEMS) และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
ยกระดับมาตรฐานไอเสียรถยนต์เป็น EURO 6 และตรวจจับรถควันดำอย่างเข้มงวด
ส่งเสริมเทคโนโลยีจัดการเศษวัสดุการเกษตร พร้อมมาตรการจูงใจทางเศรษฐกิจ
สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล ลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล
จัดมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อคุ้มครองกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงการปรับรูปแบบการเรียนการสอนช่วงค่าฝุ่นสูง
ผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้กลไก ASEAN Haze Centre เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน
กสม. ย้ำว่า สิทธิในการหายใจอากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และรัฐบาลต้องดำเนินการเชิงรุกทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย และการบังคับใช้จริง เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน.









