วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
หน้าแรกท้องถิ่นกสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 44/2565

Related Posts

กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 44/2565

กสม. ชี้กรณีจังหวัดขอนแก่นไม่มีคำสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดเป็นการละเมิดสิทธิ เสนอสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนและชุมชนต่างศาสนา ลดความขัดแย้งสร้างสันติสุข – ระบุกรณีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยล่าช้าเป็นการละเมิด เสนอทบทวนบทบาทและปรับปรุงกฎหมายเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว – เตรียมทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งแก้ปมพิพาทระหว่างเอกชนกับชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ หลังถูกปิดเส้นทางสัญจรสาธารณะ

วันที่ 15 ธันวาคม 2565 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 44/2565 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

1.กสม. เผยกรณีจังหวัดขอนแก่นไม่มีคำสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดเป็นการละเมิดสิทธิ แนะมหาดไทยสร้างความเข้าใจชุมชนต่างศาสนาเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างสันติสุข นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 จากผู้ร้องรายหนึ่ง ระบุว่า ได้ใช้บ้านพักส่วนตัวในพื้นที่ตำบลพระลับ อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ประกอบศาสนกิจตั้งแต่ปี 2556 ต่อมาเมื่อปลายปี 2559 ได้ยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนจัดตั้งบ้านหลังดังกล่าวเป็นมัสยิดต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขอนแก่น ซึ่งคณะกรรมการอิสลามฯ ได้มีมติเห็นชอบและจัดส่งเอกสารยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดต่ออำเภอเมืองขอนแก่น (ผู้ถูกร้องที่ 1) และจังหวัดขอนแก่น (ผู้ถูกร้องที่ 2) ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 เพื่อพิจารณารับจดทะเบียนตามขั้นตอน ต่อมา เมื่อเดือนมิถุนายน 2560 สมัชชาชาวพุทธเพื่อความมั่นคงของชาติจังหวัดขอนแก่น (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออำเภอเมืองขอนแก่นเพื่อคัดค้านการจัดตั้งมัสยิดโดยให้เหตุผลว่า การมีมัสยิดอาจทำให้มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายเข้ามาในพื้นที่ มีเสียงรบกวน และอาจมีการบุกรุกถมหนองน้ำบริเวณหน้ามัสยิด เป็นต้น เป็นเหตุให้จังหวัดขอนแก่นมีหนังสือระงับการจดทะเบียนไปยังคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขอนแก่นและผู้ขออนุญาตจัดตั้งมัสยิด รวมทั้งมีคำสั่งไปยังอำเภอเมืองขอนแก่นให้จัดทำประชาคมเพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และต่อมาได้มีการจัดทำประชาคมขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ผลปรากฏว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้มีมัสยิด ผู้ร้องเห็นว่าอำเภอเมืองขอนแก่นและจังหวัดขอนแก่นสร้างขั้นตอนการประชาคมโดยไม่เป็นตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด และไม่มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิด รวมถึงการที่สมัชชาชาวพุทธฯ ต่อต้านการจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิด เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาคำร้อง ข้อเท็จจริงและความเห็นจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบทบัญญัติของกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 30 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาและการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

กรณีตามคำร้องแยกพิจารณาได้สองประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรกพิจารณาว่าการที่จังหวัดขอนแก่นไม่มีคำสั่งรับจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาระยะเวลาตั้งแต่อำเภอเมืองขอนแก่นเสนอเรื่องขอจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดต่อจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดขอนแก่นได้มีหนังสือสั่งการให้อำเภอเมืองขอนแก่นจัดทำประชาคมนั้น รวมเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน จนกระทั่งปัจจุบันยังไม่มีคำสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดดังกล่าว ถือเป็นระยะเวลาเกินกว่าที่พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 กำหนด การกระทำของจังหวัดขอนแก่นจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร อันเป็นเหตุให้ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดเสียสิทธิในการดำเนินการอื่นอันพึงมี รวมถึงอาจกระทบสิทธิชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามที่ประสงค์จะประกอบพิธีกรรมในมัสยิดที่ได้รับการจดทะเบียนดังกล่าว ในชั้นนี้การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่สอง พิจารณาว่าการที่สมัชชาชาวพุทธฯ คัดค้านไม่ให้มีการจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า การจัดตั้งหรือจัดสร้างมัสยิดถึงแม้จะเป็นสิทธิและเสรีภาพของผู้ขออนุญาตตามที่กฎหมายให้อำนาจ แต่ขณะเดียวกันเมื่อชาวบ้านที่อยู่บริเวณโดยรอบเห็นว่าหากมีการอนุญาตให้จัดตั้งมัสยิดจะกระทบต่อวิถีชีวิตหรือจารีตประเพณีท้องถิ่น ก็ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายในการเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้งดเว้นการดำเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของชุมชนด้วย โดยกรณีที่สมัชชาชาวพุทธฯ และชาวบ้านคัดค้านการจัดตั้งมัสยิดด้วยกังวลว่าการใช้เสียงในการอาซาน จะรบกวนการอยู่อาศัยของประชาชนโดยรอบนั้น มัสยิดได้รับฟังความคิดเห็นของชุมชนและปรับแก้การใช้เสียงโดยหันลำโพงเข้าด้านในและลดระดับเสียงลงเพื่อให้ได้ยินแค่ภายในสถานที่แล้ว ส่วนกรณีเกรงว่ามัสยิดจะบุกรุกถมหนองน้ำบริเวณหน้ามัสยิดนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หนองน้ำสาธารณะดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของอำเภอเมืองขอนแก่นและองค์การบริหารส่วนตำบลพระลับซึ่งหากมีการรุกล้ำถมหนองน้ำจริงก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย

สำหรับกรณีที่ชาวบ้านเกรงว่าหากมีมัสยิดจะมีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเข้ามาในพื้นที่นั้น จากการตรวจสอบข้อมูลมัสยิดกว่า 4,000 แห่ง ของสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการยกเลิกการจัดตั้งมัสยิดด้วยเหตุผลจากการใช้มัสยิดในการก่อการร้ายแต่อย่างใด และจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้มิได้เกิดจากการมีมัสยิดหรือการใช้มัสยิดเป็นฐานที่ตั้งในการก่อความไม่สงบด้วย กรณีนี้จึงเป็นความกังวลของประชาชนที่อาจเกิดจากความเชื่อข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง ตีตรา เหมารวม และสร้างความเกลียดชัง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอคติต่อศาสนาอิสลามและชาวไทยมุสลิมจนเกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมและกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยส่วนรวม และอาจทำให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามมาในอนาคต

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 จึงเห็นควรมีเสนอแนะมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสรุปได้ดังนี้

1) ให้จังหวัดขอนแก่นสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา และมีคำสั่งรับหรือไม่รับจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้

2) ให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดหาแนวทางสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนในชุมชนที่อยู่ต่างศาสนาเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน โดยเฉพาะให้จังหวัดขอนแก่นทำความเข้าใจกับสมัชชาชาวพุทธฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา รวมถึงกำชับให้พิจารณามีคำสั่งในเรื่องลักษณะเดียวกันตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยเคร่งครัด

3) ให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยนำแนวทางของสำนักจุฬาราชมนตรีในเรื่องการปฏิบัติของชาวไทยมุสลิมในโอกาสต่าง ๆ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และแจ้งไปยังมัสยิดทั่วประเทศเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป

4) ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมการศาสนา และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการทำความเข้าใจกับวัดและเครือข่ายผู้นำทางศาสนาต่าง ๆ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการสร้างศาสนสถานของศาสนาอิสลามหรือศาสนาอื่นเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts