“…ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ปิดฉากรัฐบาลทหารที่มาจากการปฏิวัติ ปิดฉากพรรคการเมืองที่เดินตามอำนาจนิยมเพื่อร่วมเสพสุข เสพอำนาจ เออออห่อหมก เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และชัดเจนขึ้น ประชาชน อยู่ทางฝั่งประชาธิปไตยมากขึ้น มากขึ้น ประชาชนตั้งความหวังที่จะได้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี แม้ผลการเลือกตั้งยังไม่ออกมาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภาพของการเมืองไทยเปลี่ยนไปแล้ว เป็นบทเรียนสอนใจ “ทหาร”ว่า ไม่มีอำนาจใดที่ “จีรัง ยั่งยืน” แต่พลังประชาชนสิ “ยิ่งใหญ่” ใครอย่าคิดสั้นก่อการปฏิวัติยึดอำนาจ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอีกเลย…”
ผลการเลือดตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ผลคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา แต่ก็สร้างสถิติออกมาหลายอย่าง เช่นคนกรุงเทพทุบสถิติ! แห่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 74.28% มากสุดในประวัติศาสตร์ เมื่อเวลา 23.00 น. หลังจากปิดหีบเลือกตั้งเมื่อนับคะแนนผ่านไปแล้ว 6 ชั่วโมงผลการนับคะแนนของกรุงเทพมหานคร พบว่า พรรคก้าวไกล คะแนนนำโด่งทั้งหมด 33 เขต
และภาพรวมทั้งประเทศการที่ พรรคก้าวไกล ชนะทั้ง ส.ส.แบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อแบบถล่มทลาย ทำให้นักการเมือง นักเลือกตั้งถึงกับช็อคกับผลการนับคะแนนที่ออกมา ที่แม้ยังสรุปอะไรได้ไม่ชัดเจนนักว่า ทิศทางการเมืองข้างหน้าของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จะยังวนเวียนน้ำเน่าเหมือนเดิม ดั่งเช่นอดีตที่ผ่านมาของไทย หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
แต่ที่แน่ชัดและส่งผลแล้วก็คือพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแพ้ราบคาบ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคแสดงความรับผิดชอบผลเลือกตั้ง โดยส่งข้อความผ่านไลน์กลุ่มของพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อความระบุว่า
“ผมขอถือโอกาสนี้ แสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งและขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทุกคน
ขอขอบคุณท่านเลขาธิการพรรค ท่านชวน ท่านบัญญัติ ท่านอภิสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค คณะทำงานทุกชุด เพื่อน ส.ส. กก.บริหารและสมาชิกพรรคทุกๆ ท่าน ที่ช่วยกันทำหน้าที่สุดความสามารถด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง
พร้อมกันนี้ ผมขอแสดงความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้ง ด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค และขอให้ทุกท่านช่วยกันทำหน้าที่เพื่อพรรคต่อไป สำหรับผมไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ผมพร้อมอยู่เคียงข้างพรรคเสมอ ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาตลอดชีวิตการเมืองของผมครับ”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อคืนถึงกับเดินไม่ถูก จะไปทิศทางไหน สื่อมวลชนบางแห่งถึงกับพูดว่า “ช้างหงอย” โดยเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ 14 พ.ค. ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว หมายเลขทะเบียน ญค 1881 กรุงเทพมหานคร มาถึงพรรคด้วยสีหน้านิ่ง สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า
ทันทีที่รถยนต์จอดพล.อ.ประยุทธ์ ได้ยกมือไหว้สวัสดีบรรดาแฟนคลับ ที่มารอให้การสนับสนุน ที่บริเวณหน้าพรรค ท่ามกลางสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมาก ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เปลี่ยนใจกระทันหัน โดยไม่เข้าตามเส้นทางที่ทางพรรคได้จัดไว้ให้ แต่ได้เดินอ้อมไปทางข้างหลังรถยนต์และเข้าทางซอกบริเวณด้านหน้าศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นทางแคบ ทำให้เกิดการชุลมุน เนื่องจากช่างภาพและสื่อมวลชน ได้กรูกันเข้าไปเพื่อบันทึกภาพและทำข่าว ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถเดินได้สะดวก จึงกล่าวขึ้นว่า “ใจเย็นๆ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลโพลแต่ละสำนักที่เปิดผลสำรวจหลังปิดหีบเลือกตั้ง ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่ในอันดับ 3-4 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้ดูผลโพล ตอนนี้เขาเรียกว่ารายงานผลการนับคะแนน เขาไม่เรียกว่าโพล ผู้สื่อข่าวถามว่าจากผลโพลพรรครวมไทยสร้างชาติอยู่ในอันดับ 3-4 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องขอบคุณประชาชนคนไทยทุกคน
เมื่อถามว่ากำลังใจของท่านยังดีอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ดีแน่ ดีแน่นอน ก็ขึ้นอยู่กับประเทศชาติ ประเทศไทยนั่นแหละ คนไทยว่าอย่างไรก็ตามนั้นแหละ เมื่อถามว่าอยากจะบอกอะไรกับพรรคผลโพลอยู่อันดับ 1-2 หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า ไม่บอก จะไปบอกอะไรเขาเล่า ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไร
เมื่อถามว่าจะขอบคุณอะไรประชาชนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ขอบคุณไปแล้วไง ขอบคุณประชาชนทุกคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามเดินท่ามกลางวงล้อมสื่อใกล้ถึงประตูทางเข้าพรรคซึ่งเป็นกระจก จึงทำให้เกิดชุลมุนวุ่นวายอีกครั้ง จนรปภ. ต้องบอกให้ระมัดระวังพร้อมขอทางสื่อเพื่อเปิดให้พล.อ.ประยุทธ์ เข้าไป
อย่างไรก็ตาม แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นไปที่ชั้น 5 ของที่ทำการพรรคแล้ว บรรดาแฟนคลับก็ยังส่งเสียงสนับสนุน พร้อมชูมือโดยกล่าวว่า “แม้จะได้คะแนนเสียงน้อยจากพรรคอื่นก็ไม่เสียใจ เพราะถือว่าพล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำดีที่สุดแล้วแล้ว แต่ยังคอยสนับสนุนต่อไป อยู่ที่ไหนก็ยังสนับสนุนได้”
พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อเดินลงจากรถแล้วไม่เดินไปในทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ แต่ดันไปเดินเข้าช่องทางเล็กๆ เพราะท่านสะดวกแบบนั้นหรือเปล่าไม่มีใครทราบได้ หรือเพราะมึนตึบกับสถานการณ์การเลือกตั้งในห้วงเวลานั้นหรือเปล่าก็ยากจะคาดเดาได้ แบบนี้ไม่เรียกว่า ไปไม่ถูก เดินไม่เป็นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร?
ฟากฝั่งบุรุษประชาธิปไตยแห่งพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ทำท่าจะหมดมนต์ขลัง เมื่อพื้นที่เลือกตั้งของตนเองถูกตีแตกกระจุย เมื่อผลการเลือกตั้ง ส.ส.ตรัง อย่างไม่เป็นทางการ หลังจากนับคะแนนไปแล้วราว 80 % พบว่า ประชาธิปัตย์ นำมาใน 2 เขต ส่วนอีก 2 เขตที่เหลือ เป็นของรวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ
2 เขตที่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะพ่ายแพ้ในครั้งนี้ก็คือ เขต 1 ฐานที่มั่นหลักของ นายชวน หลีกภัย ซึ่งครั้งที่แล้วก็พ่ายให้พรรคพลังประชารัฐ มาแล้วครั้งนี้ ขณะที่ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่ง น.พ.ตุลกานต์ มักคุ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร.พ.ตรัง ลงสมัคร แต่อาจจะต้องมาพ่ายให้นายถนอมพงศ์ หลีกภัย รองนายกเทศบาลนครตรัง สมัยล่าสุด จากพรรครวมไทยสร้างชาติ
และเขต 2 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ตรัง ประชาธิปัตย์หลายสมัย และแชมป์เก่า ก็อาจจะต้องพ่ายให้นายทวี สุระบาล อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ หลายสมัย ก่อนที่ล่าสุดจะย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ
อกหักอีกคนกับ ส.ส.ดังแล้วแยกวงอย่าง น.ส.รังสิมา รอดรัศมี “เจ๊โอ๋” อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม 5 สมัยจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ายมาซบพรรครวมไทยสร้างชาติ อยู่กับอำนาจนิยม ของลุงตู่ ก็แพ้ราบคาบให้กับ ผู้สมัครหน้าใหม่จากพรรคก้าวไกล ที่ชนะขาดลอย
สรุปแล้ว พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล อดีตพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ชนะการเลือกตั้ง ชนะพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลราบคาบ แม้จะครองอำนาจมายาวนานกว่า 8 ปี นับตั้งแต่ปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่ส่งผลให้ชนะใจประชาชนแต่อย่างใด
และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจอย่างล้นหลามจากประชาชนทั้งประเทศ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ทวีตข้อความ ถึงกับประกาศว่า “พี่น้องประชาชนที่รัก วันนี้ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัดและพร้อมแล้วที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เรามีความฝัน ความหวัง แบบเดียวกัน และเราเชื่อเหมือนกันว่า ประเทศไทยที่เรารักจะดีกว่านี้ได้ ความเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ ถ้าเราเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ความฝัน ความหวัง ของพวกเรานั้นค่อนข้างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีของท่าน ไม่ว่าท่านจะโหวตหรือไม่โหวตให้ผม ผมก็จะรับใช้ท่าน”
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ปิดฉากรัฐบาลทหารที่มาจากการปฏิวัติ ปิดฉากพรรคการเมืองที่เดินตามอำนาจนิยมเพื่อร่วมเสพสุข เสพอำนาจ เออออห่อหมก เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง สภาพแวดล้อมทางการเมืองของพรรคการเมืองเปลี่ยนไป ชัดเจนขึ้น ประชาชน อยู่ทางฝั่งประชาธิปไตยมากขึ้น มากขึ้น
ประชาชนตั้งความหวังที่จะได้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี แม้ผลการเลือกตั้งยังไม่ออกมาร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภาพของการเมืองไทยเปลี่ยนไปแล้ว เป็นบทเรียนสอนใจ “ทหาร” ว่า
ไม่มีอำนาจใดที่ “จีรัง ยั่งยืน” แต่พลังประชาชนสิ “ยิ่งใหญ่” ใครอย่าคิดสั้นก่อการปฏิวัติยึดอำนาจ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอีกเลย!!!
#สืบจาก : ข่าวรายงาน