ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายืน ปิดฉากคดีบ้านเอื้ออาทร สั่งจำคุก ‘วัฒนา เมืองสุข’ 99 ปี แต่รับโทษสูงสุดไม่เกิน 50 ปี พร้อมทั้งยึดทรัพย์ 89 ล้านบาท นำตัวเข้าเรือนจำทันที เจ้าตัวยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองมาตามหาความเป็นธรรม ได้สู้คดีอย่างเต็มที่
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 4 มี.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์คดีบ้านเอื้ออาทร ที่มี นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับพวกอีกหลายคน ตกเป็นจำเลย โดยวันนี้ศาลได้พิพากษายืน คือให้จำคุก 99 ปี แต่ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุดแค่ 50 ปี และแก้คำสั่งยึดทรัพย์เป็น 89 ล้านบาท จากนั้นนำตัวนายวัฒนาเข้าเรือนจำทันที
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 24 ก.ย.63 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.42/2561 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา, นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตกรรมการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการปี 2548–2549, นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน), นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือ กี้ร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และกลุ่มเอกชน รวม 14 ราย เป็นจำเลย
ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157, ฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 11 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91
โดยศาลพิพากษาว่า นายวัฒนา เมืองสุข จำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งหมด 11 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 9 ปี รวมทั้งหมด 99 ปี ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี จำเลยที่ 4 นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ เสี่ยเปี๋ยง มีความผิด 11 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 ปี รวมทั้งหมด 66 ปี ตามกฎหมายให้จำคุกได้สูงสุด 50 ปี จำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 20 ปี จำเลยที่ 6 เป็นเวลา 44 ปี จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 32 ปี ปรับจำเลยที่ 8 เป็นเงิน 275,000 บาท และจำคุก นายอริสมันต์ หรือ กี้ร์ พงษ์เรืองรอง จำเลยที่ 10 เป็นเวลา 4 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 9 และ 11-14
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 14 ราย ประกอบด้วย 1.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พม. 2.นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตบอร์ด กคช. และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการระหว่างวันที่ 9 ก.ย. 2548–19 ก.ย. 2549 3.นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีต ผอ.ฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) 4.นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่ 5.น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง ลูกน้องคนสนิทเสี่ยเปี๋ยง 6.น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว พนักงาน บจก.เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด, 7.น.ส.รุ่งเรือง ขุนปัญญา พนักงาน บจก.เพรซิเดนท์ฯ 8.บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด โดยนายปกรณ์ อัศวีนารักษ์ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน, 9.บริษัท ซิลเวอร์ อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท ไทย เฉน หยู อินเตอร์เนชั่นแนล คอนสตรัคชั่น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) โดยนางพิมพ์วรา รัชต์ธนโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน, 10.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย, 11.บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด, 12.บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย, 13.บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง และ 14.น.ส.สุภาวิดา คงสุข กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน บริษัท ไทย เฉน หยูฯ
ในช่วงบ่าย นายวัฒนา พร้อม นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความของนายวัฒนา ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ในศาลฎีกา คดีบ้านเอื้ออาทร
นายวัฒนา กล่าวว่า มายืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองมาตามหาความเป็นธรรม ได้สู้คดีอย่างเต็มที่ อยากจะขอบคุณกัลยาณมิตร นายนรินท์พงศ์ และอีกหลายคน นายโภคิน พลกุล คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทยให้กำลังใจ วันนี้มาฟังคำพิพากษาเชื่อว่าจะออกมาตามครรลองเพราะบ้านเมือง กระบวนการยุติธรรมเสียความน่าเชื่อถือมากแล้ว ทุกคนพยายามเอากลับมาอยู่ในที่ในทาง หลักการดำเนินคดีอาญา เป็นพื้นฐานทั้งโลก ที่สำคัญคือองค์ประกอบกฎหมายครบหมด หลักการไปสู่ข้อเท็จจริงพิสูจน์ได้ พยานหลักฐานที่นำมาพิสูจน์ข้อกล่าวหาต้องได้มาโดยชอบ คดีนี้ไม่มีอะไรถูกต้องทั้งหมด
“ผมไม่ใช่พูดแบบศรีธนญชัย เชื่อหรือว่ามีการเรียกผู้ประกอบการมาทั้งหมดแล้วเรียกเงิน เชื่อหรือว่ามี พอข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้จะพิสูจน์ต้องไปปั้นสิ่งที่เป็นเท็จมา และสุดท้ายองค์ประกอบกฎหมาย การใช้ตำแหน่งโดยมิชอบ การกล่าวหาว่าผมเรียกเงิน นั้นผมไม่มีอำนาจ เพราะการเคหะแห่งชาติ มีบอร์ดพิจารณา ถ้ารัฐมนตรีจะทำผิด แค่ผู้สนับสนุน” นายวัฒนากล่าว