สระแก้ว – เจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 จับกุมแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้นำพาชาวไทย พื้นที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว
เมื่อวันที่ 5 มี.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงาน พล.ต.อมฤต บุญสุยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา สั่งการให้เจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันชายแดน จ.สระแก้ว เข้มงวดกวดขันปัญหาการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและการนำสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน ในช่วงสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยเจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 1203 ชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา ร่วมกับ ฉก.ร.111 จัดกำลังพลร่วมกับ มว.ปชด.ที่ 1 ร้อย ปชด.ที่ 4 (พล.ร.11) ทำการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ได้ตรวจพบแรงงานชาวกัมพูชา จำนวน 3 คน เป็นชาย 2 ราย หญิง 1 ราย พร้อมผู้นำพาชาวไทย จำนวน 1 คน ขณะกำลังขึ้นโดยสารบนรถยนต์กระบะของผู้นำพาชาวไทย ที่บริเวณพิกัด บ.ทัพสยาม ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ระหว่างจุดตรวจ ต.26-27 จึงควบคุมตัวมาสอบสวนเพิ่มเติม ณ ที่ทำการกองร้อย ทพ.1203
ทั้งนี้ จากการเข้าตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบเอกสารแสดงตนและเอกสารการลงทะเบียนให้แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ อยู่ในราชอาณาจักร และจากการสอบถาม ทราบว่า แรงงานชาวกัมพูชาได้ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อจะมารับจ้างทำงานในเขตพื้นที่ตอนในของไทย แบ่งเป็น ผู้นำพาชาวไทย จำนวน 1 คน คือนายพงษ์ยุทธ ยินดีรัมย์ อายุ 42 ปี อุณหภูมิร่างกาย 36.7 องศา อยู่บ้านเลขที่ 253 ม.10 บ.ทัพเซียม ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ขับขี่รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไฮลักรีโว่ สีดำ หมายเลขทะเบียน กต-1979 สระแก้ว ชื่อผู้ครอบครองรถ นายประเสริฐ ขันทอง
นายพงษ์ยุทธ ยินดีรัมย์ ให้การว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค.65 ขณะกำลังทำไร่มันสำปะหลังอยู่ที่ไร่มันสำปะหลังติดกับถนนศรีเพ็ญท้ายหมู่บ้านทัพสยาม ซอย 1 ม.10 ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ได้มีชาวกัมพูชาเพศชายไม่ทราบชื่อ จำนวน 1 คน เดินเข้ามาทำการว่าจ้างให้รับชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งจากบริเวณไร่มันสำปะหลังของนายพงษ์ยุทธฯ ไปส่งที่บริเวณ บ.หนองมั่ง ต.หนองแวง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยจะได้รับค่าจ้างนำพา จำนวน 500 บาท/คน จึงได้ตกลงและนัดหมายวันมารับ ต่อมา วันเกิดเหตุได้เดินทางออกจากบ้านที่พักอาศัย เพื่อไปทำไร่มันสำปะหลังตามปกติและรอรับชาวกัมพูชาที่ได้ทำการนัดหมายไว้ จนเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.ได้มีชาวกัมพูชา จำนวน 3 คน เดินเท้าเข้ามาจากฝั่งกัมพูชามาหาตนเองบริเวณไร่มันสำปะหลัง จึงให้โดยสารบนรถยนต์กระบะเพื่อออกเดินทางไปส่งที่หมาย จนกระทั่งพบเจ้าหน้าที่ทหารพรานและถูกจับกุม โดยนำพาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3
ส่วนแรงงานชาวกัมพูชา ที่ต้องการไปทำงานในเขตพื้นที่ จ.กรุงเทพมหานคร จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายเพียม นี อายุ 20 ปี , นายทวน แตงโม อายุ 18 ปี และ นางสาวงา พร อายุ 20 ปี ทั้งหมดมาจาก บ.กะบาลสะเปียน ต.ละเวีย อ.บอเวล จ.พระตะบอง ไม่มีเอกสารแสดงตนแต่อย่างใด ซึ่งให้การว่า ได้รับการชักชวนจากญาติชื่อนางนก ไม่ทราบนามสกุล ชาวกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันนางนกฯ ทำงานรับจ้างทั่วไป อยู่ที่ บ.กะบาลสะเปียน ต.ละเวีย อ.บอเวล จ.พระตะบอง ว่าสนใจไปทำงานกับเพื่อนของนางนกฯหรือไม่ เนื่องจากเพื่อนนางนกฯ ชื่อนางไล ไม่ทราบนามสกุล ชาวกัมพูชา ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ร้านรับทำป้ายอิงเจ็ท อยู่ที่ จ.กรุงเทพมหานคร กำลังหาคนงาน จึงได้ติดต่อนางนกฯ ให้หาคนงานให้ เนื่องจากทั้ง 3 คน ไม่มีงานทำและไม่มีรายได้ จึงได้ตกลงที่จะเดินทางไปทำงานที่ จ.กรุงเทพมหานคร โดยให้นางนก ฯ เป็นผู้ติดต่อผู้นำพาให้ จะเสียค่านำพา จำนวน 5,000 บาท/คน ซึ่งแรงงานจ่ายเงินเอง 2,000 บาท และนางไลฯ จะเป็นผู้ออกเงินค่านำพาให้อีก 3,000 บาท เมื่อถึงที่หมายโดยจะหักจากเงินเดือน
อย่างไรก็ตาม แรงงานกัมพูชา ให้ข้อมูลอีกว่า หลังออกเดินทางจากหมู่บ้านกะบาลสะเปียน โดยรถยนต์โดยสารสาธารณะมาถึงบริเวณหมู่บ้านจะกาโก จ.บันเตียเมียนเจย จากนั้นได้พบกับผู้นำพาชาวกัมพูชา เพศชาย รอรับอยู่ และได้พาทั้งหมดเดินเท้าออกจากหมู่บ้านจะกาโก มาถึงบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ทราบพื้นที่ที่แน่นอน จากนั้นผู้นำพาชาวกัมพูชา ได้เรียกเก็บเงินค่าเดินทาง จำนวน 2,000 บาท/คน และได้ชี้เส้นทางให้เดินตามเส้นทางธรรมชาติเข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยแจ้งว่า จะมีผู้นำพาชาวไทยมารอรับ จากนั้นได้เดินเท้าตามเส้นทางธรรมชาติเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และได้พบกับนายพงษ์ยุทธ ยินดีรัมย์ รอรับอยู่ และให้ขึ้นโดยสารรถยนต์กระบะเพื่อออกเดินทาง จนกระทั่งพบเจ้าหน้าที่ทหารพรานและถูกจับกุม ซึ่งทั้งหมดเคยเข้า-ออกไทยเป็นครั้งที่แรก เจ้าหน้าที่กองร้อย ทพ.1203 จึงได้ทำการชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติตามมติ ครม.การผ่อนผันให้คนต่างด้าว 3 สัญชาติอยู่ในราชอาณาจักรไทยและทำงานอย่างถูกกฏหมาย ซึ่งขั้นตอนการลงทะเบียนแสดงตน ได้สิ้นสุดลงเมื่อ 13 ก.พ.64 แล้ว จึงได้นำตัวส่งให้กับพนักงานสอบสวน สภ.ตาพระยา เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป….
นายยุทธนา พึ่งน้อย / ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว : รายงาน