วันเสาร์, กันยายน 21, 2024
หน้าแรกคอลัมนิสต์สืบจากข่าวสุดจึ้ง! คนไทยกินหมูเถื่อนแรมปี

Related Posts

สุดจึ้ง! คนไทยกินหมูเถื่อนแรมปี

“…มีการตั้งข้อสังเกตกันอย่างกว้างขวางว่า สินค้าเถื่อนเหล่านี้ เล็ดรอดออกมาจากท่าเรือได้อย่างไร? ทั้งที่การตรวจปล่อยสินค้าต้องผ่านการสแกนด้วยเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของศุลกากร และเมื่อของออกจากท่าเรือไปยังห้องเย็นต่าง ๆ ก็ยังต้องผ่านกรมปศุสัตว์ตรวจสอบด้วยอีก ซึ่งระหว่างการสอบขยายผลขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนดังกล่าวได้พบข้อมูลอันชวนตะลึง นอกจากจะมีขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนวัวเถื่อนเข้ามาในห้วงในช่วงปี 2563-66 จำนวนกว่า 2,836 ตู้แล้ว ยังพบด้วยว่า ส่วนหนึ่งของเนื้อหมูแช่แข็งและตับแช่แข็งยังเล็ดรอดไปจำหน่ายยังห้างค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์สุดบิ๊กบึ้มระดับประเทศ นั่นคือ บริษัท “สยามแม็คโคร”อีกด้วย…”

*สุดจึ้ง! คนไทยกินหมูเถื่อนแรมปี*

*“ปศุสัตว์-สภาผู้บริโภค”

  ยังมีตัวตนอยู่ไหม

*ต้องบอกว่าสุดจึ้ง! ช็อคซีนีม่าของจริง!*

พันตำรวจตรีสุริยา สิงหกมล  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

หลังจาก  พันตำรวจตรีสุริยา สิงหกมล  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำหมายศาลพร้อมเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เข้าตรวจค้นบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาขน) สำนักงานใหญ่ ถนนพัฒนาการ เพื่อขอข้อมูลคำสั่งซื้อหมูแช่แข็งและเครื่องในของบริษัทที่กระทำกับ 2 บริษัทนำเข้าหมูเถื่อนที่ถูก “ดีเอสไอ” ดำเนินคดีไปก่อนหน้า

หลังจากก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้นำกำลังเข้าตรวจค้นศูนย์กระจายสินค้าของแม็คโครที่มหาชัย สมุทรสาคร และที่วังน้อย พระนครศรีอยุธยาไปแล้ว ซึ่งเป็นการตรวจสอบขยายผลจากการตรวจยึดหมูเถื่อน 161 ตู้ ที่พบว่ามีเนื้อหมูแช่แข็งและเครื่องในบางส่วน รวมทั้งเส้นทางทางการเงินเชื่อมโยงมาถึงสยามแม็คโครแห่งนี้

และก็เป็น  ศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการสื่อสารองค์กร ที่ออกมายอมรับว่าทางสยามแม็คโคร เคยทำสัญญาซื้อขายกับบริษัท เว้ลท์ซี่ แอนด์ เฮ็ลธ์ซี ฟูดส์ จำกัดที่ถูกดีเอสไอดำเนินคดีไปก่อนหน้าจริง เนื่องจากขณะนั้นบริษัทประสบปัญหาเครื่องในหมูไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงประสานไปยังบริษัทดังกล่าว เพื่อให้จัดหาตับหมูส่งให้ โดยมีเอกสารการนำเข้า และรับรองสุขอนามัยจากกรมปศุสัตว์มาสำแดงอย่างถูกต้องทุกล็อต 

ศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการสื่อสารองค์กร

ทั้งยังยอมรับด้วยว่า สยามแม็คโคร กับบริษัทที่ตกเป็นผู้ต้องหานั้นเป็นคู่ค้ากันมาหลายปี ทั้งการสั่งซื้อเนื้อหมู ปลา  และอาหารทะเล โดยในการสั่งซื้อเนื้อหมู และตับหมูกับบริษัทดังกล่าวนั้น เนื่องจากทางบริษัทผู้ต้องหา ได้นำมาเสนอขาย พร้อมมีเอกสารมาสำแดงถูกต้องตามกฎหมายทุกล็อต จึงตัดสินใจรับซื้อ โดยมีมูลค่าการซื้อขายกันราว 390 ล้านบาท

ช่างตรงกันข้ามกับแถลงการณ์ของ “แม็คโคร” ก่อนหน้านี้ ที่ยืนยันว่าห้างฯไม่ได้ซื้อเนื้อหมูจากบริษัทนำเข้าอื้อฉาวที่กำลังเป็นข่าวมาตั้งแต่กลางปี 2565 แล้ว เนื่องจากตรวจพบสินค้าไม่ได้คุณภาพ เป็นเหตุให้บริษัทได้ยุติการสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทดังกล่าว รวมทั้งยุติการสั่งซื้อตับหมูในเวลาต่อมาด้วยเช่นกัน

โดยตอกย้ำ กรณีใบสั่งซื้อที่ปรากฏตามข่าว เป็นการสั่งซื้อในอดีต และผู้ขายมีเอกสารประกอบการนำเข้าที่ถูกต้องทั้งหมด ณ ขณะที่บริษัทฯ ทำการสั่งซื้อสินค้าดังกล่าว ซึ่งแม็คโครได้ตอกย้ำและตรวจสอบกับคู่ค้าทุกราย เพื่อรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดของเกษตรกรไทยจากปัญหาหมูเถื่อนที่ทำลายเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรแถลงการณ์ของแม็คโครล่าสุดที่ออกมานั้น ก็สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเรากินหมูเถื่อนและเครื่องใน(ตับ)เถื่อนมาแรมปี แม้ฝ่ายบริหารแม็คโครจะยืนยัน นั่งยันว่า บริษัทคู่ค้า (อื้อฉาว) มีเอกสารหลักฐานการนำเข้าถูกต้อง และใบรับรองความปลอดภัยที่ออกโดยกรมปศุสัตว์มาแสดงด้วยทุกล็อต

แต่จะเป็นเครื่องการันตีได้มากน้อยแค่ไหน เพราะดีเอสไอระบุเองว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่บริษัทนำมาแสดงในการขำนำเข้าเหล่านั้นพบว่า เป็นการแจ้งความเท็จใช้เอกสารเท็จ และสยามแม็คโครเองก็ยอมรับเองไม่ใช่หรือว่าจากการตรวจสอบคุณภาพเนื้อหมูและตับหมูแช่แข็งที่บริษัทจัดส่งให้แม็คโครนั้นพบว่า ไม่ได้มาตรฐานก่อนจะตีกลับและยุติคำสั่งซื้อไปในที่สุด

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการหมูเถื่อนเหล่านี้ผงาดขึ้นมาขายยังห้างค้าปลีก-ค้าส่งมานานแรมปีแล้ว คนไทยต้องบริโภคหมูเถื่อนเหล่านี้ที่ไม่รู้เสี่ยงติดโรคอะไรต่ออะไรไปไม่รู้เท่าไหร่

*ย้อนไทม์ไลน์ชบวนการนำเข้าหมูเถื่อน*

เรื่องของขบวนการนำเข้า “หมูเถื่อน” ที่ทำลายตลาดสุกรของไทยจนพินาศย่อยยับในระยะเวลาไม่ถึง 3  ปีนับจากเกิดโรคระบาด “อหิวาต์หมู” หรือ  AFS ในช่วงปี 2563-64 จนทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายกลางและรายย่อยนับหมื่นต้องล้มหายตายจากไปในทันที อุตสาหกรรมหมูแทบตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มทุนรายใหญ่ครบวงจร ราคาเนื้อหมูในท้องตลาดช่วงปี 2564-65 พุ่งกระฉูดจาก กก.ละ 120-130 บาท เป็นกิโลละ180 -200 บาทและ 220  และยังมีแนวโน้มจะทะยานขึ้นไปถึง 220-250 บาทอีกด้วย

ในเวลานั้นมีกระแสข่าวสะพัดมีความพยายามจากกลุ่มทุนการเมือง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดนำเข้าสุกรชำแหละจากต่างประเทศเพื่อบรรเทาความเดอืดร้อนของผู้บริโภค แต่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติก็ออกโรงคัดค้านอย่างหนักหน่วง เพราะยิ่งจะเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรผู้เลี้ยง พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลปราบปรามขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานั้น แต่ก็ไม่เป็นผล

แม้รัฐบาลจะ “ปิดประตูลั่นดาน” การนำเข้าหมูชำแหละจากต่างประเทศ แต่กลับมีการลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” อย่างต่อเนื่อง โดยนัยว่ามีนายทุนใหญ่ ที่ร่วมมือกับนักการเมืองระดับประเทศ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือกันอย่างเป็นขบวนการ ทำให้แม้เกษตรกรฟาร์มหมูทั่วประเทศ ที่แม้จะขุนหมูออกสู่ตลาดได้ ก็ไม่สามารถสู้ราคาหมูเถื่อนได้ 

 เอาเป็นว่าขณะที่เกษตรกรฟาร์มหมูมีต้นทุน “หมูเป็น” หน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลละ 95-100 บาท แต่สามารถขายได้ในราคาเพียง 70-79 บาท/กิโลเท่านั้น ขณะที่หมูเถื่อน ที่ไม่รู้นำเข้ามากันอย่างไรถึงได้เล็ดรอดไปจำหน่ายยังเขียงหมูทั่วประเทศ แม้แต่ห้างค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์ก็ยังมีจำหน่ายนั้น มีราคาเพียงกิโลละ 45-50 บาทเท่านั้น 

หากไม่เพราะ “หมูเถื่อน” 161 ตู้ที่ค้างเติ่งอยู่ท่าเรือแหลมฉบังคนไทยเราคงบริโภค “หมูเถื่อน” ที่เสี่ยงติดเชื้อและอมโรคกันเกลื่อนเมืองต่อไป และอาจไม่ได้เห็นนายกฯลงมาเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ เพราะแม้สำนักงานศุลกากรแหลมฉบังจะมีการตรวจอายัดหมูเถื่อนบิ๊กล็อตครั้งนี้

แต่ก็มีความพิลึกพิลั่น ไม่ชอบมาพากลมาตั้งแต่แรกเช่นกัน

เมื่อ ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด?

หากทุกฝ่ายจะย้อนรอย “ไทม์มิ่ง” ของการตรวจสอบและอายัดหมูเถื่อนทั้ง 161 ตู้ในครั้งนี้จะเห็นว่า สำนักงานศุลกากรได้มีการสำรวจตู้สินค้าตกค้างที่อยู่ในความดูแลเพื่อจัดทำบัญชีของตกค้าง (List A) โดยไม่มีใบขนสินค้าเพื่อแจ้งไปยังบริษัทเรือและตัวแทนเรือเพื่อให้เจ้าของตู้มาดำเนินการสำแดงตัวตั้งแต่ 13 เมษายน 2566 แล้ว

โดยมีรายงานว่า ตู้สินค้าเหล่านี้ตกค้างอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้มามากกว่า 5 เดือนแล้วด้วย โดยมีตู้สินค้าตกค้างอยู่ 220 ตู้ ซึ่งในจำนวนนี้ มีรายงานว่าเป็น “เนื้อหมูแช่แข็ง” จำนวน  161 ตู้น้ำหนักรวมกว่า 4.5 ล้านกิโลกรัม ส่วนที่เหลือเป็นเนื้อสัตว์แช่แข็งอื่น ๆ อีก 59 ตู้ ปริมาณราว 1.6 ล้านกิโลกรัม

18 เมษายน 2566  สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ นำกรรมการสมาคมบุกไปยังสำนักงานศุลกากรแหลมฉบัง พร้อมทำหนังสือถึงกรมศุลกากรเพื่อขอทราบแนวทางในการปราบปราม และดำเนินการกับหมูเถื่อนที่ตรวจพบเหล่านี้  เพราะที่ผ่านมาได้รับทราบแต่เพียงว่า เป็นอาหารทะเลและอาหารสัตว์ หรือสินค้าประเภทอื่น ๆ แต่ขณะนี้ข้อมูลปรากฏชัดแล้วว่าตู้สินค้าเหล่านี้คือ “หมูเถื่อน” 

มีการตั้งข้อสังเกตกันอย่างกว้างขวางว่า สินค้าเถื่อนเหล่านี้ เล็ดรอดออกมาจากท่าเรือได้อย่างไร? ทั้งที่การตรวจปล่อยสินค้าต้องผ่านการสแกนด้วยเครื่องที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของศุลกากร และเมื่อของออกจากท่าเรือไปยังห้องเย็นต่าง ๆ ก็ยังต้องผ่านกรมปศุสัตว์ตรวจสอบด้วยอีก ยิ่งกรณีการเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดก่อนกระจายลงไปยังเขียงหมูทั่วประเทศด้วยแล้ว

20 เมษายน 66 หลังสมาคมผู้เลี้ยงหมูออกมาเปิดโปงการนำเข้าหมูเถื่อนเต็มโกดังข้างต้น สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เรื่อง การตรวจยึดและดำเนินคดีสินค้าประเภทสุกรแช่แข็งตกค้างภายในท่าเรือฯ จำนวน 161 ตู้ น้ำหนัก 4.5 ล้านกิโลกรัม มูลค่า 225 ล้านบาท จากจำนวนตู้ตกค้าง 220 ตู้ อีก 59 ตู้ เป็นเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ๆ น้ำหนัก 1.65 ล้านกิโลกรัม พร้อมระบุว่าได้ส่งมอบให้กรมปศุสัตว์ไปทำลายแล้ว 13 ตู้ ทั้งยังแจ้งต่อสื่อมวลชนว่า จะมีการแถลงรายละเอียดผลการจับกุมในวันที่ 25 เมษายน 2566 ก่อนจะแจ้งยกเลิกไป

12 พฤษภาคม 2566 หลังครบระยะเวลา 1 เดือน โดยไม่ปรากฏว่า มีผู้ใดมาแสดงความเป็นเจ้าของ สำนักงานศุลกากรฯ จึงเชิญทุกฝ่ายดำเนินการเปิดตู้สินค้าเหล่านี้ ซึ่งพบเป็นสินค้าประเภทสุกรแช่แข็ง อันเป็นของควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 สินค้าดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ จึงเป็นการนำเข้าโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อจำกัด และเป็นของอันพึงต้องริบตามกฎหมายศุลกากร 

ก่อนที่ อธิบดีกรมศุลกากรจะมีหนังสือลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ไปถึงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเพื่อขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในฐานะนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาในความผิดฐานนำเข้าซึ่งสัตว์หรือซากสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมจัดตั้งคณะทำงานประสานงานการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าประเภทเนื้อสุกรหรือชิ้นส่วนสุกรที่ผิดกฎหมาย  ร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมปศุสัตว์ กรมการค้าภายใน สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ 

ก่อนที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ จะส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) รับเป็นคดีพิเศษในการสอบขยายผลขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนและปศุสัตว์เถื่อนเหล่านี้ ซึ่งพบว่าเกี่ยวข้องกับบริษัทนำเข้า 11 ราย 17 สายการเดินเรือด้วยกัน พร้อมทั้งขยายผลตรวจสอบไปยังห้องเย็นต่าง ๆ อีกกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ

5 กรกฎาคม 2566  พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ร่วมกับ นายวาริส วิสารทานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการตรวจสอบสินค้า สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบตู้สินค้าทั้ง 161 ตู้ดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อทำการตรวจสอบขยายผลถึงที่มาที่ไป ทั้งในส่วนของบริษัทผู้นำเข้า  ชิ้ปปิ้ง กลุ่มนายทุนที่อยู่เบื้องหลัง รวมตลอดไปจนถึงบรรดาห้องเย็นที่รับฝากตู้สินค้าหมูเถื่อนเหล่านี้

ก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะหายเข้ากลีบเมฆ  กระทั่ง นายกฯเศรษฐา ทวีสิน  ได้เรียกอธิบดีดีเอสไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าหารือและติดตามความคืบหน้าการดำเนินการสอบขยายผลขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบังตรวจอายัดไว้ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ก่อนนายกฯจะเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกที่สหรัฐอเมริกา พร้อมแสดงความไม่พอใจต่อการดำเนินการไล่เบี้ยขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนที่ล่าช้า จนกลายเป็นข่าวครึกโครมในวันรุ่งขึ้น

นั่นแหล่ะจึงทำให้ “ฝีแตก” เมื่อดีเอสไอเดินเครื่องแจ้งข้อหาเอาผิดกับกลุ่มบริษัทชิ้ปปิ้งตัวแทนออกของให้แก่บริษัทเอกชนผู้นำเข้า และกลุ่มนายทุนที่อยู่เบื้องหลังการนำเข้าหมูเถื่อนเหล่านี้ ก่อนขยายผลไปยังห้องเย็นต่าง ๆ ซึ่งระหว่างการสอบขยายผลขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนดังกล่าวได้พบข้อมูลอันชวนตะลึง นอกจากจะมีขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนวัวเถื่อนเข้ามาในห้วงในช่วงปี 2563-66 จำนวนกว่า 2,836 ตู้แล้ว

ยังพบด้วยว่า ส่วนหนึ่งของเนื้อหมูแช่แข็งและตับแช่แข็งในยังเล็ดรอดไปจำหน่ายยังห้างค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์สุดบิ๊กบึ้มระดับประเทศ นั่นคือ บริษัท “สยามแม็คโคร” อีกด้วย

เรายังไม่เคยเห็นเครือข่ายเพื่อผู้บริโภค หรือสภาองค์กรของผู้บริโภค หรือกรมปศุสัตว์จะได้ออกโรงปกป้องผลประโยชน์อะไรของประชาชนผู้บริโภคแม้แต่น้อย แม้แต่ใบอนุญาตนำเข้าและใบรับรองสารพัดที่แม็คโครนำมากล่าวอ้างยืนยันนั้น ออกมาอย่างถูกต้องอย่างไร หรือใครเป็นผู้ออก ทุกอย่างเงียบหายเข้ากลีบเมฆไปหมด

จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หน่วยงานรัฐหรือองค์กรเหล่านี้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของกลุ่มทุนยักษ์ไปแล้ว หรืออย่างไร?แล้วอย่างนี้ประชาชนผู้บริโภคจะหวังพึ่งอะไรกับหน่วยงานเหล่านี้ได้บ้าง !!!!

#สืบจากข่าว รายงาน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts