เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 18 ม.ค.67 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พหลโยธิน จตุจักร กทม. จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พาผู้เสียหาย 2 ผัวเมียเข้าร้องขอความช่วยเหลือ ผบก.ป. กรณี ”เจ๊โบว์ สามย่าน“เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ เรียกดอกเบี้ยโหดกู้เงินนอกระบบ 6 แสน ดอกเบี้ยพุ่งเป็นล้าน จ่ายดอกวันละสามพันบาท เกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย เนื่องจากเจ้าหนี้ข่มขู่ อ้างรู้จักตำรวจ – นักการเมืองชื่อดัง
นางฉัตร (นามสมมุติ) ผู้เสียหายเปิดเผยว่า หลังจากไปกู้เงินนอกระบบมา 600,000 บาท แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเกือบ 2 ล้านบาท ซ้ำยังถูกเจ้าหนี้ข่มขู่และฟ้องดำเนินคดี
ผู้เสียหายเล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนคนนึงแนะนำให้ตนไปกู้เงินนอกระบบกับน้าชาย ตนจึงไปกู้หนี้นอกระบบมาเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อลงทุนขายเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัด และจะส่งดอกเบี้ยวันละ 3,000 บาท เป็นระยะเวลา 120 วัน รวมแล้วต้องจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย 360,000 บาท และได้ไปกู้มาใหม่ทำให้เป็นหนี้กว่า 600,000 บาท ซึ่งตนก็ได้ส่งเงินไปแล้ว 80 วัน เป็นเงิน 240,000 บาท จากนั้นตนก็เริ่มขายเสื้อผ้าไม่ดี ทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงขอเสนอว่า ขอให้รวมยอดทีเดียวเลย แต่ตนจะขอส่งแค่วันละไม่เกิน 2,000 บาท โดยจะขอเพิ่มวันในการส่ง แลกกับการเพิ่มดอกเบี้ย เจ้าหนี้คนดังกล่าวจึงหลอกให้ตนไปทำสัญญาร่วมลงทุนธุรกิจขายเสื้อผ้า โดยอ้างว่า ถ้าทำสัญญาจะสามารถส่งดอกเบี้ยวันละไม่เกิน 2,000 บาทตามที่ผู้เสียหายร้องขอได้ ผู้เสียหายจึงยอมเซ็นข้อตกลงนี้ จากนั้นก็ได้มีการส่งดอกเบี้ยตามข้อตกลงกันเรื่อยมา ซึ่งบางครั้งตนส่งไม่ไหวเจ้าหนี้ก็ได้มีการให้ล้มวงพร้อมกับเริ่มส่งดอกเบี้ยใหม่ ทำให้ตนจ่ายหนี้ไปแล้วกว่า 1,300,000 บาท ซึ่งเจ้าหนี้บอกว่ายังเหลืออีก 560,000 บาท
จากนั้นปรากฏว่า ตนได้รับหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนสน.พญาไท ฐานผิดสัญญาร่วมลงทุน เนื่องจากตนขาดการส่งเงิน ทำให้ทำผิดสัญญาร่วมลงทุน และให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 แต่ตนก็ได้ขอเลื่อนไปเป็นวันที่ 15 มกราคม และขอเลื่อนอีกครั้งเป็นวันที่ 20 มกราคมนี้
นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังได้เล่าอีกว่า เจ้าหนี้คนดังกล่าว เป็นผู้มีอิทธิพล มักจะอ้างว่ารู้จักกับตำรวจใน สน. พญาไท ข่มขู่ว่าถ้าไม่จ่ายเงินจะพาตัวไปที่ สน. และรู้จักกับนักการเมืองพรรคหนึ่ง บางครั้งก็มีคนขี่รถจักรยานยนต์มามาจอดหน้าร้านอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ข่มขู่ว่าจะให้ลูกน้องมาขับรถชนลูกชายของตน ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกหวาดกลัว ใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง และถึงขั้นคิดสั้นที่จะฆ่าตัวตาย พร้อมกับฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาช่วยเหลือและดูแลลูกหนี้นอกระบบ
นายณัฐปกรณ์ สุดชา หรือทนายเจส กล่าวว่า คดีนี้เบื้องต้นผู้เสียหายทำสัญญาเงินกู้กับเจ้าหนี้ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นสัญญาร่วมทุนซื้อขายเสื้อผ้าแทน ผู่เสียหายหลงเชื่อจึงทำไป ซึ่งเป็นนิติกรรมโมฆะ หลังจากร้องขอความคุ้มครองตำรวจกองปราบ แล้ว จากนี้จะพาไปพบ พงส.สน.พญาไท เพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาต่อไป