วงการรถยนต์บ้านเราในช่วงที่ผ่านมา ญี่ปุ่นถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้ามาลงมาลงทุน แต่วันนี้ในยุคยานยนต์ไฟฟ้า ต้องยกให้จีนเป็นเบอร์ 1 ที่เปิดฐานการผลิตในไทยนับสิบค่าย และ 3 ค่ายนี้ก็เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ไม่ใช่แค่สวย แต่ยังร่ำรวยนวัตกรรมอีกด้วย
ค่ายแรกคือ “ฉางอาน” เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตยานยนต์อันดับต้น ๆ ของจีน มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมรถยนต์มากกว่า 40 ปี ยอดขายสะสมกว่า 26 ล้านคัน และในปี 2566 มียอดขายทั่วโลกมากกว่า 2.55 ล้านคัน อีกทั้งเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรม มีบุคลากรในทีมวิจัยและพัฒนากว่า 18,000 คน ฉางอานได้ประกาศแผนสร้างฐานการผลิตในไทย โดยมีเงินลงทุนในเฟสแรกกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวาแห่งแรกของบริษัทที่อยู่นอกประเทศจีน และเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และแอฟริกาใต้ โรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง กำลังการผลิตรวม 100,000 คันต่อปี และจ้างงานกว่า 2,000 คน โดยได้วางศิลาฤกษ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในช่วงต้นปี 2568 นี้
เอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC MOTOR) เป็นอีกหนึ่งบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นของจีน และเป็นบริษัทรถไฟฟ้ารายแรก ๆ ที่เข้ามาลงทุนในไทยตั้งแต่ปี 2556 ผ่านการร่วมทุนกับเครือ CP จำหน่ายรถยนต์ MG ล่าสุดรัฐบาลไทยได้นำเสนอนโยบาย EV 3.5 ในการสนับสนุนการผลิตและจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้า และ ได้เน้นย้ำขอให้บริษัทฯ เห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เอสเอไอซี มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเซี่ยงไฮ้ แถมยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนา รวมถึงศูนย์ทดสอบยานยนต์ของตัวเองอีกด้วย
ปิดท้ายด้วย บีวายดี หรือ Bulid Your Dream ค่ายรถยนต์ที่เริ่มต้นมาจากบริษัทผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์ใหญ่ที่สุดในจีน เมื่อปี 2002 บริษัท BYD เข้าซื้อบริษัทรถยนต์เข้ามาเป็นบริษัทลูก ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป จนกระทั่งในปี 2008 ทางค่ายได้มีการผลิตรถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก ด้วยความชำนาญของบริษัททีมีการผลิตแบตเตอรี่มาก่อน ส่งผลให้กลายเป็นค่ายรถยนต์อีวีชั้นนำของโลก มีมูลค่าบริษัทสูง 4.7 ล้านล้านบาท เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมการขับขี่ เปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ที่สำคัญของโลก
