ผลสำรวจของ เอบีม คอนซัลติ้ง จากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,200 คนในประเทศอินโดนีเซียและไทย ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่มีตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า แม้กลุ่ม Gen Z จะมีความคล้ายคลึงกับผู้บริโภคในเจเนอเรชั่นอื่น แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดหลายประการ ดังนั้นจึงสามารถคาดการณ์ได้ว่า การจำหน่ายรถยนต์วันนี้หรือในอนาคต จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่นี้
Gen Z คือประชากรที่มีอายุระหว่าง 14 ถึง 26 ปี และเติบโตท่ามกลางยุคที่มีการใช้อินเตอร์เน็ต รวมทั้งโซเชียลมีเดียและสมาร์ตโฟนอย่างแพร่หลาย โดยกลุ่ม Gen Z กำลังเติบโต และไปแทนที่สัดส่วนของจำนวนประชากรผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว คาดว่าจะมีจำนวนถึง 30% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาคภายในปี พ.ศ. 2573 ถือเป็นกลุ่มที่มีแนวความคิด และมีค่านิยมที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ อย่างมาก
โดยเฉพาะถ้าเทียบกับคนในกลุ่ม Gen X (อายุระหว่าง 43 ปี ถึง 58 ปี) ที่มองว่าการครอบครองรถยนต์ แสดงถึงสถานะทางสังคมมากถึง 45% ในขณะที่กลุ่ม Gen Z ในประเทศไทยเพียง 31% เท่านั้นที่มีค่านิยมแบบนี้ โดยส่วนใหหญ่มองว่ารถยนต์เป็นปัจจัยที่มีไว้เพื่อมอบความสะดวกสบาย ให้กับตนเองและครอบครัว มากกว่าจะเอาไว้ใช้แสดงความร่ำรวย
จากผลสำรวจ “ราคารถยนต์” ยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเป็นอันดับ 1 โดย 57% ของผู้ตอบแบบสำรวจ มองว่าราคาเป็นปัจจัยที่สำคัญ ขณะที่ปัจจัยด้าน “ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” มีความสำคัญเป็นอันดับ 2 เทียบเท่ากับความสามารถของรถยนต์ด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง โดยอยู่ที่ 24% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งแตกต่างจากผู้ซื้อในกลุ่มเจเนอเรชันอื่น ที่ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมเป็นอันดับที่ 9
มากไปกว่านั้น 68% ของ Gen Z ที่ตอบแบบสอบถามยังแสดงความสนใจต่อยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้นอย่างมาก เพราะเหตุผลด้านราคาน้ำมัน และอีก 43% คำนึงถึงความต้องการที่จะลดผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพบว่า 30% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มองเรื่องของเงินสนับสนุนจากภาครัฐก็มีส่วนในการตัดสินใจอย่างมากด้วย
และแม้ Gen Z จะเป็นกลุ่มคนที่คุ้นเคย รวมถึงเชี่ยวชาญการใช้งานช่องทางดิจิทัล แต่ผู้ซื้อในกลุ่ม Gen Z จำนวนไม่น้อยที่มีมากถึง 78% ยังชอบการซื้อรถด้วยวิธีการออฟไลน์มากกว่า ดังนั้น ตัวแทนจำหน่าย จึงยังคงมีบทบาทสำคัญในการซื้อขายรถยนต์อยู่ แต่ก็ควรที่จะพัฒนาวิธีการขายให้ครอบคลุมมากขึ้น