นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้อง เมื่อเดือนมกราคมและมิถุนายน 2566 ระบุว่า การตั้งโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลชานอ้อยของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในพื้นที่ตำบลโนนสวรรค์ อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน และขาดการมีส่วนร่วม รวมทั้งการขออนุญาตตั้งโรงงานน้ำตาลทรายแดงของบริษัทเอกชนอีกแห่ง (ผู้ถูกร้องที่ 2) ซึ่งมีแนวเขตติดต่อกันกับโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลชานอ้อยของผู้ถูกร้องที่ 1 อาจเข้าข่ายเป็นการแยกขออนุญาตดำเนินโครงการเพื่อหลีกเลี่ยงการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด (ผู้ถูกร้องที่ 3) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการขออนุญาตตั้งโรงงานน้ำตาลทรายแดงของผู้ถูกร้องที่ 2 แต่มิได้เปิดเผยข้อมูลให้กับประชาชนในพื้นที่ทราบอย่างครบถ้วน จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 58 ระบุว่าในกรณีที่รัฐจะอนุญาตให้มีการดำเนินการใดที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชน รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาอนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด โดยบุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลและคำชี้แจงจากหน่วยงานของรัฐก่อนการอนุญาต
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า โครงการของผู้ถูกร้องที่ 1 ยังอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการขออนุญาตตั้งโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล และโครงการของผู้ถูกร้องที่ 2 ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานน้ำตาลทรายแดง จึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอย่างเป็นรูปธรรมหรือพยานหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ว่าการตั้งโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลชานอ้อยของผู้ถูกร้องที่ 1 และโรงงานน้ำตาลทรายแดงของผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิชุมชน สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี และสิทธิในสุขภาพของผู้ร้อง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงที่สามารถพิจารณาต่อไปได้ว่า หากโรงงานของผู้ถูกร้องทั้งสองได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ อาจมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อชุมชน เนื่องจากโครงการของผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 มีลักษณะเป็นการประกอบกิจการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บนพื้นที่ตั้งรวมกันกว่า 700 ไร่ และด้วยการประกอบกิจการโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลมักจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในหลายรูปแบบ เช่น ฝุ่นละออง PM 2.5 จากการเผาใบอ้อย ฝุ่นละอองจากการหีบอ้อยและการเผาไหม้ของโรงไฟฟ้า กลิ่นเหม็นจากโรงงานน้ำเสียที่อาจรั่วไหลออกนอกพื้นที่โครงการ เป็นต้น และเมื่อทั้งสามโรงงานตั้งอยู่ในอาณาบริเวณติดต่อกัน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจึงอาจจะเกินกว่าขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ (carrying capacity) จนสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อสิทธิชุมชน สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี และสิทธิในสุขภาพได้ ทั้งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำสำหรับการทำนาข้าว การเลี้ยงปศุสัตว์ รวมถึงการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำผิวดินอีกด้วย
นอกจากนี้ กสม. เห็นว่า โครงการของผู้ถูกร้องที่ 1 และ 2 ยังเป็นโครงการที่จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ รวมถึงการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่โครงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากแต่เดิมประชาชนในพื้นที่ประกอบอาชีพทำนาข้าวในทุ่งกุลาร้องไห้ ในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ และเกษตรแปลงใหญ่ที่มีพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ เลี้ยงวัวไล่ทุ่ง รวมถึงมีการใช้ประโยชน์จากทุ่งกุลาร้องไห้ในหลายรูปแบบ เช่น การจับปลาหลดและไส้เดือนขาย การเก็บหาของป่า เป็นต้น จึงอาจเกิดข้อพิพาทในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันอย่างมีนัยสำคัญได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนาข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ การตั้งโรงงานของผู้ถูกร้องที่ 1 และ 2 อาจทำให้เกษตรกรไม่สามารถขอรับการรับรองมาตรฐานสินค้าอินทรีย์ ซึ่งต้องมีการควบคุมการปนเปื้อนของมลพิษจากดิน น้ำ อากาศ จนส่งผลกระทบต่อการจำหน่ายและส่งออกข้าวในอนาคตได้
ส่วนประเด็นร้องเรียนเรื่องการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการขออนุญาตตั้งโรงงาน เห็นว่า การประกอบกิจการโรงงานน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวล ของผู้ถูกร้องที่ 1 เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และจัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าว โดยผู้ถูกร้องที่ 1 ได้จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 1 ครั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างข้อเสนอโครงการ รายละเอียดโครงการ ขอบเขตการศึกษา และการประเมินทางเลือกโครงการ อย่างไรก็ดี เห็นว่า การจัดรับฟังความคิดเห็นของผู้ถูกร้องที่ 1 เพียงครั้งเดียว ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง และมีช่วงเวลารับฟังความคิดเห็นเพียง 90 นาที ขณะที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 700 คน และยังเป็นการกำหนดวันรับฟังความคิดเห็นในช่วงฤดูทำนา รวมทั้งกำหนดสถานที่จัดเวทีห่างจากสถานที่ตั้งโรงงานกว่า 12 กิโลเมตร จึงเห็นว่า การรับฟังความคิดเห็นครั้งดังกล่าวภายใต้ระยะเวลาอันจำกัดส่งผลให้ผู้เข้าร่วมไม่สามารถสะท้อนข้อคิดเห็นหรือความวิตกกังวลของตนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการสำคัญของกระบวนการรับฟังความคิดเห็นตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2566 จึงถือว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับประเด็นการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการอนุญาตให้ตั้งโรงงานน้ำตาลทรายแดงของผู้ถูกร้องที่ 2 เห็นว่า โรงงานน้ำตาลทรายแดงไม่เข้าข่ายประเภทโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 เนื่องจากการใช้พลังงานความร้อนในการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการผลิตน้ำตาลทรายแดงมีน้อยกว่าการผลิตน้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ ผู้ถูกร้องที่ 2 จึงไม่ต้องจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียตามขั้นตอนของการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม แต่ยังต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียด้วยวิธีปิดประกาศ ตามระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการพิจารณาออกใบรับแจ้งประกอบกิจการโรงงาน ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และใบอนุญาตขยายโรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พ.ศ. 2555 ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ถูกร้องที่ 3 ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 3 ได้ปิดประกาศรับฟังความคิดเห็นตามระเบียบข้างต้น และมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 1 วัน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเอกสารที่เผยแพร่เพื่อประกอบการรับฟังความคิดเห็นพบว่า เอกสารดังกล่าวมีเพียงข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งโรงงานน้ำตาลของผู้ถูกร้องที่ 2 โดยสังเขปและเป็นข้อมูลในเชิงเทคนิค ซึ่งอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียทราบและเข้าใจรายละเอียดของโครงการดังกล่าวได้อย่างครบถ้วนและรอบด้าน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม.ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 จึงมีข้อเสนอแนะไปยังบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ถูกร้องที่ 3 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมโยธาธิการและผังเมือง ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ สรุปได้ดังนี้
(1) ข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 จัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างข้อเสนอโครงการ รายละเอียดโครงการ ขอบเขตการศึกษา และการประเมินทางเลือกโครงการ อีกครั้ง โดยกำหนดจำนวนวัน ระยะเวลา ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมและประเด็นที่กำหนดในการรับฟังความคิดเห็น ตลอดจนต้องกำหนดสถานที่และช่วงเวลาให้เหมาะสมและสะดวกสำหรับกลุ่มเป้าหมายด้วย โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมสังเกตการณ์การจัดรับฟังความคิดเห็นดังกล่าว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผู้ถูกร้องที่ 1
(2) ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 พิจารณาทบทวนทางเลือกที่ตั้งโครงการเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจ และให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้ถูกร้องที่ 3 กำหนดจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียต่อโครงการตั้งโรงงานน้ำตาลทรายแดงของผู้ถูกร้องที่ 2 อีกครั้ง โดยการเผยแพร่ข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอเพื่อประกอบการแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้ ให้อำเภอปทุมรัตต์ สถานีตำรวจภูธรปทุมรัตต์ และสถานีตำรวจภูธรบ้านบัวขาว ร่วมกันจัดทำแผนการเฝ้าระวังและช่องทางรับแจ้งเหตุการณ์ข่มขู่คุกคามประชาชนอันเนื่องมาจากการคัดค้านโครงการของผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 2 รวมทั้งแผนการรักษาความปลอดภัยสำหรับการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น โดยจะต้องมิให้เป็นอุปสรรคหรือส่งผลกระทบต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน
(3) ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ศึกษาเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2560 เพื่อกำหนดให้พื้นที่ทำนาข้าวในทุ่งกุลาร้องไห้ของอำเภอปทุมรัตต์ เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม