วันนี้ (30 ต.ค 67) เวลา 11.35 น. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบกลาง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยกับสื่อมวลชนถึงกรณีที่ทนายความชื่อดังที่กำลังตกเป็นประเด็นเรื่องเงินหลักสิบล้านกว่าบาทในเวลานี้ว่าและเคยมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องคดีพรากผู้เยาว์มาก่อน
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า จากที่เคยมีเพจโซเชียลขุดประเด็นว่าทนายชื่อดังคนนั้นเคยมีคดีพรากผู้เยาว์มาก่อน ตนได้รับอนุญาตจากทนายคนดังกล่าวให้มาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วว่า คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 ซึ่งตอนนั้นทนายคนดังกล่าวยังใช้ชื่อเก่าอยู่ โดยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับลูกตำรวจที่เป็นเยาวชนร่วมกับบุคคลอื่นรวม 4 คน โดย 3 คนถูกออกหมายจับ ส่วนตัวทนายคนดังกล่าวมามอบตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้อัยการสั่งไม่ฟ้อง คดีจึงถึงที่สุดและมีการออกกฎหมายลบล้างมลทินจนลบประวัติอาจจะทำออกไป ทำให้ทนายคนดังกล่าวผูกประวัติไว้และสามารถรับใบอนุญาตทนายความได้เมื่อปี 2547
ส่วนคดีความก่อนหน้านี้ที่ทนายคนนั้นถูกกล่าวหาเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ในการช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับยาเสพติด 2 คดีก่อนหน้านี้นั้น ซึ่งเป็นคดีที่ตนเคยร้องเรียนเพื่อเอาผิดกับทนายคนนั้น นายอัจฉริยะระบุว่า มีอยู่หนึ่งคดีที่จบไปแล้วเพราะอัยการทุจริตภาค 7 สั่งไม่ฟ้อง แต่ยังคงเหลือคดีที่ตนเคยร้องเรียนเมื่อปี 2561
ตนไม่ได้ทักหรือไม่ได้เกลียดกับทนายคนดังกล่าว การที่จับมือกันในวันนั้นก็เป็นเพียงแค่การยุติคดีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้มีเรื่องฟ้องร้องกันอีก แต่ตนถือโอกาสเป็นวันที่ตนรอคอย เพราะในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ตนถูกโจมตีและกล่าวหามาโดยตลอด ในวันนี้เมื่อถึงคราวของทนายคนนี้บ้าง ตนก็มองว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับสภาพกรรมนั้นและความจริงก็คือความจริง เน้นย้ำว่าที่ตนออกมาพูดไม่ใช่เป็นการแฉทนายคนนี้ แต่เป็นการพูดตามที่สื่อมวลชนต้องการอยากรู้และทนายซึ่งเป็นผู้รู้กฎหมายก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง รวมทั้งต้องยอมรับความเป็นจริง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูกหลังจากนี้ตนเชื่อว่า ทนายคนนี้น่าจะโดนออกหมายจับในระยะเวลาอันใกล้ ในคดีเกี่ยวกับฉ้อโกง ซึ่งตนได้พูด ให้กำลังใจทนายคนนั้นเพียงแค่ว่า อาจจะได้เข้าไปอยู่กับบอสพอลในเรือนจำ ส่วนที่เหลือทนายคนนั้นจะจัดการยังไงต่อโดยเฉพาะเรื่องทางกฎหมายเป็นหน้าที่ของทนายดังกล่าว