การออกมาประกาศกร้าวของ ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบาม แห่งเม็กซิโก เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ว่า รัฐบาลของเธอจะมีมาตรการตอบโต้ หากว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สั่งรีดภาษีสินค้าแดนจังโก้ในอัตรา 25% ตามที่ขู่ไว้ พร้อมเตือนว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้ชาวสหรัฐฯตกงานถึง 400,000 คน และคนอเมริกันจะต้องซื้อสินค้าแพงขึ้นด้วย
“มันก็เหมือนลั่นกระสุนใส่เท้าตัวเอง” มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโก กล่าวเสริม พร้อมเตือนว่า การขึ้นภาษีจะทำให้ราคารถปิกอัพ 88% ที่จำหน่ายในพื้นที่ชนบทของสหรัฐฯ แพงขึ้น 3,000 ดอลลาร์
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า การที่ทรัมป์จะใช้เครื่องมือทางภาษีศุลกากร เพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจของสหรัฐฯ โดยจะจัดเก็บภาษีสินค้าจากประเทศจีนสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ สูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ผลกระทบนี้ไม่ได้มีแค่กับจีน แต่จะสะเทือนถึงความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหภาพยุโรปด้วยเช่นกัน ซึ่งมีบางบริบทแสดงให้เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่ยุโรปอาจได้รับผลกระทบมากกว่าจีน
การศึกษาแบบจำลองโดย Financial Times และ Allianz Trade แสดงให้เห็นว่ายุโรปจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากสงครามการค้านี้ หากสมมุติฐานว่าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจีน 25 เปอร์เซ็นต์ และ 5 เปอร์เซ็นต์สำหรับประเทศอื่นๆ ในสถานการณ์นี้ คาดว่าประเทศต่างๆ ในยุโรป จะสูญเสียรายได้รวมกันเป็นมูลค่า 38,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 – 2569 เมื่อเทียบกับการขาดทุนของจีน อยู่ที่เพียง 34,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
และกรณีการเกิด “สงครามการค้าเต็มรูปแบบ” มีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60 เปอร์เซ็นต์และจากประเทศอื่นๆ ทั้งหมด 20 เปอร์เซ็นต์ แบบจำลองนี้แสดงให้เห็นว่า จีนจะสูญเสียมูลค่ารวมประมาณ 125,300 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 – 2569 ในขณะที่ยุโรปจะสูญเสีย 124,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันมาก