เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 ธ.ค.67 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายนริศ วิทยาวรากรณ์ ผู้บริหารบริษัท ไทยยินตัน จำกัด พร้อม นายธนพงศ์ จูสนิท ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ผู้เสียหายในคดีที่ ถูก เชน ธนา ฉ้อโกง มูลค่าความเสียหาย 79 ล้าน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมพร้อมตรวจพยานหลักฐาน ก่อนยื่นให้อัยการอีกครั้ง
นายนริศ เปิดเผยว่า สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ที่ตนมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามไว้ครั้งแรก หลังจากนั้นก็ได้มาสอบปากคำอีก 2-3 ครั้งคราวนั้นตนได้แจ้งความดำเนินคดีเอาผิดบริษัทอามาโด้ รวมทั้งเชน ธนา และ เจน (ภรรยา) ฐานร่วมกันฉ้อโกง
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น (2-3 สัปดาห์) ทางคู่กรณีก็ได้มาแจ้งความเราเอาหลักฐานที่ฟ้องศาลแพ่งมาให้ตำรวจ ร้องว่ามันเป็นคดีแพ่งนะ ไม่ใช่คดีอาญาตามที่ตนมาแจ้งความเขา
เมื่อสำนวนส่งไปที่อัยการแล้วมีความเห็นให้สอบปากคำเพิ่ม กับข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม อัยการจึงเห็นพฤติกรรมมันเป็นการฉ้อโกง จึงส่งกลับมาที่ตำรวจสั่งฟ้องเป็นคดีอาญา
ซึ่งครั้งแรกพนักงานสอบสวนก็มีความเห็นเป็นคดีแพ่งไปก่อนก็ไปว่ากันในทางแพ่ง แต่มาภายหลังมีการสรุปสำนวนส่งให้อัยการ ได้มีการสอบปากคำ วิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนที่เราแจ้งความไปแล้ว ได้มีความเห็นว่าควรสั่งฟ้องในคดีอาญาข้อหาร่วมกันฉ้อโกง คดีจึงกลับมาที่ตำรวจให้ออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหา
หลังจากที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องและเรียกคู่กรณีประกอบด้วย บริษัทอามาโด้ เชนธนา และ เจน มารับทราบข้อหาร่วมกันฉ้อโกงแล้ว ตามกระบวนการต่อไปก็คือ ในวันนี้เรามาให้การเพิ่มเติมตามประเด็นที่อัยการขอมาอีก 3-4 ประเด็น ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นที่ทางอัยการอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม
ตนขออธิบายเป็นภาษาที่คนทั่วๆ ไปพอจะเข้าใจได้ คือการที่คู่กรณีผมทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องแพ่งนั้น สุดท้ายแล้วคนที่จะรับผิดชอบในคดีนี้คือบริษัท ภาษาชาวบ้านทั่วไปก็คือการล่มบนฟูก โดยที่ผู้บริหารทั้งสองคนที่ถูกฟ้องร่วมด้วยก็ลอยตัว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย พยายามทำทุกวิถีทาง พูดตลอดให้คนเห็นว่ามันเป็นคดีแพ่ง จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ“
ระยะหลังๆ ก็เห็นว่าพยายามขยันขายของอยู่ แต่ก็มีหลายคนมาคอมเม้นท์แล้วแท็คมาหาผมว่าเขาพยามไลฟ์ขายสินค้าเพื่อหาทางชำระผม ตนขอยืนยันตรงนี้เลยว่ายังไม่ได้รับชำระเงินเลยสักบาทเดียว เท่าที่ตนทราบปัจจุบันดูจากงบการเงินของบริษัทเขายังมีเจ้าหนี้ค้างชำระอยู่ 700 กว่าล้านบาท ซึ่งไม่ใช่ตนแค่คนเดียวที่เป็นเจ้าหนี้
ตามงบการเงิน ที่มีเจ้าหนี้ 700 กว่าล้านนี่ กลับมีการเอาเงินออกให้กับกรรมการคือเชนธนา 100 กว่าล้านบาท ตรงนี้น่าจะเป็นประเด็นให้คนที่ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ว่าทำไมเขาอยากให้มันเป็นคดีแพ่งมากกว่า เพราะเงินในบริษัทมันไม่มีพอชำระเจ้าหนี้อยู่แล้ว ถ้าเป็นแพ่ง บริษัทไม่ต้องชำระ เป็นการล้มบนฟูก ทำให้เห็นว่าทุกครั้งที่ออกมาพูดเข้าจะพูดว่าเป็นคดีแพ่งเสมอเจตนาทั้งหมดตนเชื่อว่าพอหลักฐานกับสิ่งที่ตนอธิบายให้เจ้าหน้าที่ทั้งอัยการและพนักงานสอบสวนฟังไปเล็งเห็นว่าพฤติการณ์ และพฤติกรรมมันเป็นการฉ้อโกง ถึงมีการสั่งฟ้องในคดีนี้“
คดีนี้เหลืออีก 2 ผลัดที่พนักงานสอบสวนต้องส่งอัยการฟ้องศาล ตนเชื่อว่าพนักงานสอบสวนน่าจะทำได้ทันเพื่อตัววห้อัยการฟ้องในวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.นี้
ต่อข้อถามที่เชนธนาออกมาร้องไห้หลั่งน้ำตาในคดีนี้นั้น นายนลิศ กล่าว่า ตนว่าการร้องไห้หรือเสียใจนั้น เหตุการณ์มันผ่านมาสองปีแล้ว เขาบอกว่ามีพนักงานที่ต้องดูแล ตนว่าเจ้าหนี้อย่างตนหรือเจ้าหนี้คนอื่นๆ ก็มีพนักงาน มีคนที่ต้องดูแลเช่นกัน ทุกคนก็มีภาระ หน้าที่ต่างกันไป การที่ตนไม่ได้ออกมาร้องไห้ไม่ใช่แสดงว่าตนไม่ได้เสียใจหรือตนมีภาระต้องดูแล ก็มีภาระมีพนักงาน หลายสิบหลายร้อยชีวิตที่จะต้องดูแลเช่นกัน ทุกวันนี้ตนมีหนี้ขึ้นมา โดยที่ตนไม่ได้เป็นผู้ก่อ เพราะต้องชำระสินค้าที่เขาไม่ได้ชำระตน แสดงว่าตนก็เป็นหนี้ก้อนหนึ่งขึ้นมา ตนเองก็ต้องทำงานเพื่อชำระหนี้ที่ตนไม่ได้สร้างขึ้นมา ถ้าตนใช้ชีวิตสุขสบาย ไม่เดือดร้อน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี่กลับเป็นว่าลูกหนี้ตนใช้ชีวิตสุขสบายกว่าตน ใช้ชีวิตอย่างสบาย เท่าที่ตนเห็นจากการโพสต์ในโซเชียลของเขา น่าจะแฮปปี้มีความสุขดี
ตนว่าเจ้าหนี้ทุกคนเห็นแบบนี้ ก็คงไม่สบายใจ แต่จะให้ตนมาร้องไห้ ตนว่าไม่น่าจะใช่วิถี ตนว่าเราออกมาเรียกร้องความยุติธรรม โดยใช้ศาลและระบบความยุติธรรมของประเทศไทยมากว่า แทนที่ตนจะออกมาร้องไห้มากกว่ามูลหนี้ค่าสินค้า 79 ล้านบาท ซึ่งคดีนี้เป็นความผิดที่ยอมความได้ อยู่ที่ตัวของคู่กรณีเองด้วย ความยินยอม หรือจะดำเนินการอะไรได้บ้าง ถ้าเขายอมชำระตน แต่เขายังมีความเชื่อว่าจะทำให้เป็นคดีแพ่งได้อยู่ ถ้าเขายอมรับชำระตนคืนก็แสดงว่าเขาฉ้อโกงตนจริง แล้วคดีอื่นๆ ที่มีกับเขาอยู่ก็อาจจะเข้าข่ายฉ้อโกงเช่นกันส่วนที่มีคนมาระบุว่าเกี่ยวข้องมูลนิธิฯ นั้น คุณพ่อตนท่านเป็นกรรมการช่วยเหลืออยู่ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๋ง ส่วนตนยังไม่ได้เข้าไปช่วย
สำหรับคดีที่คู่กรณีไปยื่นฟ้องศาลแพ่ง นั้นเป็นประเด็น สินค้าเราไม่ได้เป็นตามที่พรรณนาไว้ นั้นศาลชั้นต้น พิจารณาแล้วสินค้าเราเป็นไปตามที่พรรณนาทุกอย่าง จึงตัดสินให้เราชนะ โดยศาลให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้สเราเต็มพร้อมดอกเบี้ย ปัจจุบันคู่กรณียื่นขออุทธรณ์อยู่
ส่วนประเด็นที่เค้าไปเปิดโกดังสินค้าให้ซื้อเข้าไปดูนั้นตั้งแต่เป็นข่าวตนยังไม่ได้ชี้แจงเลยจึงขอชี้แจงในวันนี้ว่า สินค้าที่เขาขายมาเรื่อยๆ พอถึงวันที่ต้องชำระเงิน ตนก็มีจดหมายไปแจ้งว่าถึงวันที่ต้องชำระค่าสินค้า แต่เขาไม่ชำระ ผ่านไปสองวันเขาแจ้งกลับมาว่าสินค้ามีปัญหา เลยไม่ชำระเงิน ผ่านไปเดือนกว่าตนได้มีการสั่งสินค้ามา สินค้าก็ยังมีมาส่งแสดงว่ายังมีสินค้า ตนได้แจ้งกลับไปว่าที่บอกมาว่าสินค้ามีปัญหา นั้นทำไมยังขายอยู่ ทำให้เขาลืมนึกไปว่าแจ้งตนมาว่าสินค้ามีปัญหา เขาจึงหยุดขายตั้งแต่วันนั้น หลังจากวันนั้นหยุดขายแล้วจึงทำให้มีสินค้าคงข้างอยู่ ต่อจากนั้นเขาก็เอามาผนวกกันว่าเขาหยุดขายมานานแล้ว ซึ่งเขาหยุดขายเมื่อตอนที่ตนถามไปว่าทำไมยังขายอยู่ถ้าสินค้ามีปัญหา สินค้าที่ตนส่งไปให้เขาทั้งหมด 7.5 ล้านซอง โดยส่งไป 2 ล็อต เขาบอกว่าขายหมดไปแล้ว 3 ล้านซอง ถ้าสินค้าเหลือก็คำนวณง่ายๆ 4.5 ล้านซอง แต่วันที่ออกมาแถลงข่าวระบุว่าคงเหลือ 4.9 ล้านซอง ตนจึงไม่แน่ใจว่าอันไหนเป็นความจริงอันไหนเท็จ