“ทนายปราบโกง-อดีตพนักงานการท่าเรือฯ ร่วมร้อยชีวิต ยื่นหนังสือร้องปลัดคมนาคมสอบ ผอ.การท่าเรือฯ คดีโกงเงินค่าล่วงเวลาเท็จ พร้อมเรียกร้องลงโทษทางวินัยร้ายแรง”
เวลา 10.00 น. วันที่ 10 ก.พ.68 ที่ถนนราชดำเนิน บริเวณด้านหน้ากระทรวงคมนาคม นายกฤษฎา อินทามระ หรือที่รู้จักในนาม “ทนายปราบโกง” พร้อมด้วยอดีตพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทย กว่า 100 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานบอร์ดการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษทางวินัยร้ายแรงกับผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย หลังพบหลักฐานการทำหนังสือชี้แจงคดีโกงเงินค่าล่วงเวลาเท็จ
นายกฤษฎา เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 15 ต.ค.67 ที่ผ่านมา พนักงานการท่าเรือฯ กว่า 100 คน ได้ชุมนุมกันที่ประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี ขอให้การท่าเรือชดใช้ค่าเสียหายทั้งทางร่างกาย จิตใจ และชื่อเสียง หลังจากถูกการท่าเรือร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งที่พนักงานเป็นผู้บริสุทธิ์
ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือลงวันที่ 16 ต.ค.67 ขอให้การท่าเรือฯ พิจารณาตรวจสอบและดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้อง กระทรวงคมนาคมก็เห็นควรส่งเรื่องให้การท่าเรือฯ ดำเนินการตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด แล้วแจ้งกลับมาให้ตนและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีทราบโดยตรง พร้อมรายงานให้กระทรวงคมนาคมทราบด้วย
แต่การท่าเรือฯ กลับเพิกเฉยเรื่อยมา กระทรวงคมนาคมจึงมีหนังสือลงวันที่ 4 ธ.ค.67 เร่งรัดให้การท่าเรือฯ แจ้งผลการพิจารณาดำเนินการให้กระทรวงฯ ทราบ
นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า ต่อมาวันที่ 29 ม.ค.68 การท่าเรือฯ มีหนังสือถึงตนและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงคมนาคม โดยผู้ที่ลงนามในหนังสือทั้งสามฉบับคือผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยข้อความในหนังสือทั้งสามฉบับมีข้อความเหมือนกัน กล่าวอ้างว่าการท่าเรือฯ มิได้มีความประสงค์ที่จะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษพนักงานและอดีตพนักงานเกี่ยวกับกรณีทุจริตเบิกจ่ายค่าล่วงเวลามาตั้งแต่แรกเริ่ม
ซึ่งข้อความดังกล่าวตนเห็นว่าเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะความจริงคือ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.60 การท่าเรือฯ มีความประสงค์ดำเนินคดีอาญากับนายจงเด่น บุตรสุทธิวงศ์, นายเฉลียว สุขเกษม และนายวรพล อินทร์น้อย กับพวกพนักงานและอดีตพนักงานรวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
และถึงแม้ว่าในหนังสือดังกล่าวจะอ้างว่าเป็นการร้องทุกข์ตามหนังสือของ ดีเอสไอ ที่ส่งมาถึงการท่าเรือฯ ก็ตาม ข้อกล่าวอ้างเช่นนี้ถือเป็นการโยนความผิดไปให้ ดีเอสไอ เพราะก่อนที่การท่าเรือฯ จะแสดงความประสงค์เป็นผู้เสียหายและร้องทุกข์กล่าวโทษมอบคดีให้ ดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินคดีกับพนักงานจำนวนมากนั้น การท่าเรือฯ ก็จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานแห่งการกระทำความผิดให้แน่ชัดและครบถ้วนเสียก่อนว่า พนักงานจำนวนหลายร้อยคนนั้นได้มีการกระทำความผิดจริงหรือไม่เพียงไร แต่ก็หาได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดไม่ จึงเป็นเหตุให้คดีพิเศษต้องดำเนินต่อไปได้สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่พนักงานผู้บริสุทธิ์หลายร้อยคนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จากการถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรมทั้งที่เป็นผู้บริสุทธิ์
และการทำหนังสือที่มีข้อความอันเป็นเท็จนั้น ก็มีเจตนาพิเศษต้องการช่วยเหลือผู้บริหารและอดีตผู้บริหารกว่า 30 คน ที่กำลังถูก ป.ป.ช.ไต่สวนความผิดข้อหากลั่นแกล้งพนักงานในคดีพิเศษเพื่อต้องการให้บุคคลเหล่านั้นพ้นผิดหรือไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง
การกระทำของผู้อำนวยการการท่าเรือฯ จึงมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ตนจึงต้องมาร้องเรียนขอให้ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงโทษทางวินัยผู้อำนวยการการท่าเรือฯ คนดังกล่าว หากพบว่ามีความผิดจริงขอให้ลงโทษสถานหนักด้วย
เบื้องต้นมี นายเสน่ห์ ตั้งสถิตย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ ดูแลงานเรื่องราวร้องทุกข์ กระทรวงคมนาคม มารับหนังสือจากพนักงานการท่าเรือฯ เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
