กสม. ชี้กรณีการเคหะฯ ปรับปรุงแฟลตดินแดงโดยเรียกเก็บค่าบริหารจัดการในอัตราสูงขึ้น กระทบสิทธิในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมของผู้มีรายได้น้อย – เน้นย้ำการฝึกทหารที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกทหารใหม่กองทัพเรือ ชื่นชมกองทัพในมาตรการป้องกันการซ้อมทรมานทหารเกณฑ์
วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 9/2568 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้
1.กสม. ชี้กรณีการเคหะฯ ปรับปรุงแฟลตดินแดงโดยเรียกเก็บค่าบริหารจัดการในอัตราสูงขึ้น กระทบสิทธิในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมของผู้มีรายได้น้อย แนะทบทวนมาตรการ
นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนกันยายน 2566 ระบุว่า เมื่อปี 2561 การเคหะแห่งชาติ (ผู้ถูกร้อง) ได้ดำเนินโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง ระยะที่ 1 แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างดำเนินโครงการระยะที่ 2 ผู้ร้องและผู้อยู่อาศัยในแฟลตดินแดง แจ้งว่าโครงการดังกล่าวกระทบต่อการครองชีพของผู้อยู่อาศัยเดิมจากการเรียกเก็บค่าบริหารจัดการในอัตราที่สูง ได้แก่ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่จอดรถ การปรับเพิ่มค่าเช่าร้อยละ 5 หรือในอัตราที่ผู้ถูกร้องกำหนดทุก 3 ปี และมีปัญหาเรื่องความชัดเจนในการจัดการแผงการค้า ซึ่งเป็นแหล่งที่ทำกินของชุมชน จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้รับรองสิทธิของบุคคลหรือชุมชนไว้ในมาตรา 41 และมาตรา 56 ได้กำหนดหน้าที่ของรัฐในการจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยความเห็นทั่วไปที่ 4 ของคณะกรรมการประจำกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) เรื่องสิทธิในที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ กำหนดว่ารัฐมีหน้าที่จัดหาที่อยู่อาศัยที่เพียงพอและราคาที่เหมาะสม มีความสอดคล้องกับระดับรายได้ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ควรอยู่ในระดับที่ไม่กระทบหรือเบียดบังการใช้สอยปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ และรัฐควรจัดให้มีเงินอุดหนุนเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสม
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้อยู่อาศัยในแฟลตดินแดงส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 63 ประกอบอาชีพค้าขาย รับจ้างทั่วไป และขับรถรับจ้าง (มอเตอร์ไซด์ รถตู้ แท็กซี่) รวมถึงพ่อบ้าน/แม่บ้าน คนว่างงาน และนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งเป็นผู้ไม่มีรายได้ประจำ เมื่อเทียบกับรายได้สุทธิเฉลี่ยต่อเดือน ที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของประชาชนแฟลตดินแดง พบว่าส่วนใหญ่ มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท
ก่อนที่แฟลตดินแดงจะโอนมาอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของการเคหะแห่งชาติ เคยอยู่ภายใต้การดูแลของกรมประชาสงเคราะห์ แฟลตดินแดงก่อสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดหาพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ต่อมาการเคหะแห่งชาติ ผู้ถูกร้อง ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจมีวัตถุประสงค์สำคัญประการหนึ่ง คือ การจัดหาที่อยู่อาศัยให้ประชาชนเช่า เช่าซื้อ หรือซื้อ จัดให้มีสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งพัฒนาผู้อยู่อาศัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ หนึ่งในพันธกิจของผู้ถูกร้อง คือ การสร้างบ้านคุณภาพที่ทุกคนเป็นเจ้าของเองได้
เมื่ออาคารแฟลตดินแดงได้โอนมาอยู่ในความดูแลของผู้ถูกร้อง ผู้ถูกร้องจึงมีแนวคิดที่จะฟื้นฟูชุมชนดินแดง โดยพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้อยู่อาศัยเดิม 6,546 หน่วย และกลุ่มผู้อยู่อาศัยใหม่ 13,746 หน่วย จึงมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายและค่าบริหารจัดการเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้น ได้แก่ ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่จอดรถ ค่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่งผลให้ผู้เช่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จากเดิมที่จ่ายเดือนละ 320 – 3,020 บาท เป็นเดือนละ 1,225 – 6,425 บาท นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องยังกำหนดให้มีการปรับเพิ่มค่าเช่าร้อยละ 5 หรือในอัตราที่ผู้ถูกร้องกำหนดทุก 3 ปี รวมถึงได้ลดขนาดห้องจาก 42 ตารางเมตร เหลือ 33 ตารางเมตร ส่งผลให้ผู้เช่าเดิมที่มีสมาชิกในครอบครัวหลายคนต้องเช่าห้องเพิ่ม การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยแก่ผู้เช่าเดิมเป็นอย่างมาก
กสม. เห็นว่าประชาชนแฟลตดินแดงที่เป็นผู้อยู่อาศัยเดิมควรได้รับการลดหย่อน ชดเชยหรือเยียวยา จากการที่ยินยอมให้ผู้ถูกร้องเข้าพัฒนาพื้นที่อยู่อาศัย จนทำให้ต้องไปอยู่ในที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าเดิม อีกทั้ง ผู้ถูกร้องไม่ได้ให้เวลาประชาชนแฟลตดินแดงปรับตัวเพื่อวางแผนการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย แม้ผู้ถูกร้องจะชี้แจงว่าการเก็บค่าบริหารจัดการของโครงการฟื้นฟูฯ เป็นอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าบริหารจัดการของคอนโดมิเนียมอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง แต่เห็นว่าไม่สามารถนำอัตราการเรียกเก็บดังกล่าวมาเทียบเคียงกันได้ เนื่องจากแฟลตดินแดงที่เคยอยู่ภายใต้การดูแลของกรมประชาสงเคราะห์นั้น เป็นการจัดพื้นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย จึงมีวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ต่างกับโครงการของเอกชน ดังนั้น กรณีการเรียกเก็บค่าบริหารจัดการจากผู้อยู่อาศัยเดิมในอัตราที่สูง และการปรับเพิ่มค่าเช่าร้อยละ 5 หรือในอัตราที่ผู้ถูกร้องกำหนดทุก 3 ปี จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนกรณีความชัดเจนในการจัดการแผงการค้าหรือแหล่งที่ทำกิน เห็นว่า การเคหะแห่งชาติไม่ได้ให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียจากโครงการมีส่วนในการจัดการเกี่ยวกับแผงการค้าหรือแหล่งที่ทำกิน และในแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง (ปี 2559 – 2567) ก็มิได้มีการจัดทำพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับการค้าขายไว้แต่อย่างใด การทุบอาคารเดิมเพื่อสร้างอาคารใหม่ ทำให้ระหว่างการทุบตึก ประชาชนที่ค้าขายอยู่เดิม 746 ราย ต้องย้ายร้านค้าหรือแผงการค้าหลายครั้ง ทำให้ขาดรายได้ และกระทบต่ออาชีพแหล่งทำกิน เป็นระยะเวลานาน โดยที่ผู้ถูกร้องไม่อาจสร้างความมั่นใจหรือรับประกันได้ว่าในระยะยาวจะมีแผนรองรับแผงการค้าดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งผู้ถูกร้องควรวางแผนเกี่ยวกับแผงการค้าหรือที่ทำกินโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม ดังนั้น ประเด็นการจัดการแผงการค้าหรือแหล่งที่ทำกินในแฟลตดินแดงของผู้ถูกร้อง จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังการเคหะแห่งชาติ ผู้ถูกร้อง ให้ทบทวนการเรียกเก็บค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าที่จอดรถ และการปรับเพิ่มค่าเช่าร้อยละ 5 หรือในอัตราที่ผู้ถูกร้องกำหนดทุก 3 ปี โดยนำข้อมูลรายได้ของประชาชนแฟลตดินแดงมาเป็นฐานการคิดคำนวณค่าใช้จ่าย เพื่อให้เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อย และให้คำนึงถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามเจตนารมณ์เดิมของกรมประชาสงเคราะห์เป็นหลัก รวมทั้งให้มีการศึกษาการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายแบบขั้นบันได เพื่อให้ประชาชนมีเวลาปรับตัว สามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและวางแผนการเงินในครัวเรือนได้ในอนาคต และให้แก้ไขระเบียบการเคหะแห่งชาติว่าด้วยการให้เช่าโครงการเคหะชุมชนดินแดงและโครงการฟื้นฟูเมืองและชุมชนดินแดง พ.ศ. 2563 ข้อ 16 ให้มีการกำหนดเพดานการปรับขึ้นค่าเช่าที่ชัดเจน โดยนำรายได้เฉลี่ยของประชาชนแฟลตดินแดงมาเป็นฐานการคิดคำนวณ
นอกจากนี้ให้ทบทวนและหารือร่วมกับประชาชนผู้อยู่อาศัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการจัดการแผงการค้าและสถานที่ค้าขายให้มีความชัดเจน สำรวจปริมาณความต้องการสินค้าและบริการ ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบสถานที่ค้าขายให้เข้ากับวิถีชุมชน กระจายแผงการค้าให้ทั่วถึงทุกอาคาร เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งอาหารของผู้พิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งกำหนดแผนการจัดการแผงการค้าและพื้นที่เชิงพาณิชย์สำหรับการค้าขายในแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูฯ
กสม. ยังมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ให้คำแนะนำและกำกับดูแลการเคหะแห่งชาติในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะข้างต้นเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาให้เหมาะสม และคำนึงถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อยเป็นอันดับแรก โดยในการดำเนินโครงการฟื้นฟูฯ ในระยะที่ 3 – 4 ให้การเคหะฯ คำนึงถึงการออกแบบขนาดห้องให้เหมาะสมกับจำนวนผู้อยู่อาศัย มีความหลากหลายและเข้ากับวิถีชีวิตชุมชนโดยให้ประชาชนผู้อยู่อาศัย เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำรวจประชาชนแฟลตดินแดงที่มีความยากจน มีรายได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพ โดยหามาตรการหรือแนวทางในการช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เพื่อลดความเสี่ยงการถูกบังคับให้ย้ายออก และป้องกันปัญหาคนไร้บ้านหรือไร้ที่อยู่อาศัย ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตจากการดำเนินโครงการฟื้นฟูฯ ด้วย


