นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมกราคม 2567 ระบุว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายหนึ่งประสงค์ทำศัลยกรรมตกแต่งยกคิ้วกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้อง) แต่โรงพยาบาลมีนโยบายคิดค่าบริการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่งให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวีเป็นสองเท่า กล่าวคือ ผู้ติดเชื้อฯ ต้องจ่ายค่าบริการผ่าตัดยกคิ้วในราคา 160,000 บาท ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อฯ จ่ายในราคา 80,000 บาท โดยให้เหตุผลว่า การผ่าตัดให้ผู้มีเชื้อเอชไอวีต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้มีต้นทุนสูงกว่าปกติ เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อที่ราคาสูงกว่ากรณีทั่วไป ทั้งนี้ ผู้ร้องเห็นว่า ผู้เสียหายมีผลตรวจสุขภาพ ค่า Viral Load (ค่าปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือด 1 มิลลิลิตร) ต่ำกว่า 20 ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าควบคุมไวรัสได้ และมีค่า CD4 หรือ ค่าเม็ดเลือดขาวที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ในระดับที่มีความปลอดภัย อันเป็นไปตามหลักการ U=U (Undetectable = Untransmittable หรือไม่เจอ=ไม่แพร่) คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่กินยาต้านอย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีในเลือดได้หรือมีปริมาณเชื้อในเลือดน้อยหรือเท่ากับศูนย์ ไม่สามารถส่งต่อเชื้อได้ ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำของโรงพยาบาลเป็นการเลือกปฏิบัติส่งผลให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่สามารถเข้าถึงบริการที่จัดโดยภาคเอกชนได้อย่างเท่าเทียม ทำให้ผู้ติดเชื้อฯ ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 ให้การรับรองและคุ้มครองว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกาย หรือสุขภาพ ความพิการ จะกระทำมิได้ โดยเห็นว่าในการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขมีหลักการป้องกันแบบครอบจักรวาล (Universal Precautions) หรือหลักการ UP สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนผู้ใช้บริการ บนฐานคิดที่ว่าผู้ให้บริการและผู้รับบริการมีโอกาสเสี่ยงต่อการรับและส่งต่อเชื้อโรคเท่าเทียมกันไม่เฉพาะเจาะจงกับเชื้อเอชไอวีเท่านั้น ซึ่งหลักการ UP นี้เป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สถานพยาบาลทุกแห่งต้องปฏิบัติ และหากปฏิบัติตามหลักการ UP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากการปฏิบัติตามหลักการ UP จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น ในทางปฏิบัติจึงมีความเป็นไปได้ยากที่จะควบคุมให้สถานพยาบาลทุกแห่งปฏิบัติได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ในส่วนของการเรียกเก็บค่าบริการกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่าเป็นสองเท่า ผู้ทรงคุณวุฒิของ กสม. เห็นว่า หากปฏิบัติตามหลักการ UP จะไม่จำเป็นต้องเรียกเก็บค่าบริการเพิ่ม อย่างไรก็ตามการคิดค่าบริการและค่าใช้จ่ายบางประการ เช่น ค่าความชำนาญของแพทย์ อาจมีความแตกต่างกันได้ในแต่ละโรงพยาบาล ทั้งนี้ โรงพยาบาลควรแสดงรายละเอียดค่าบริการให้ผู้เสียหายใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างเพียงพอ
กสม. เห็นว่า การที่โรงพยาบาลผู้ถูกร้องกำหนดค่าบริการตกแต่งศัลยกรรมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีสูงกว่าคนทั่วไปเป็นสองเท่าเนื่องจากต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ทำให้มีต้นทุนสูงกว่าปกติ ทั้งที่หลักการ UP กำหนดให้การให้บริการทางการแพทย์ใช้ฐานคิดว่า ผู้ให้บริการและผู้รับบริการมีโอกาสเสี่ยงต่อการรับและส่งต่อเชื้อโรคไม่เฉพาะเจาะจงแต่เชื้อเอชไอวีเท่านั้น บุคลากรทางการแพทย์จึงควรระมัดระวังและป้องกันตนเองและผู้รับบริการให้มีความปลอดภัยจากการติดเชื้อที่อาจติดต่อทางเลือดและสารน้ำจากร่างกายของทั้งบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยหรือผู้มารับบริการทุกรายเหมือนกันอย่างเป็นมาตรฐาน การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ผู้เสียหายไม่สามารถเข้ารับบริการที่จัดโดยผู้ถูกร้องได้อย่างเท่าเทียม ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จึงเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสุขภาพอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังโรงพยาบาลผู้ถูกร้อง ให้ยกเลิกการกำหนดค่าบริการที่แตกต่างกันระหว่างผู้ติดเชื้อเอชไอวีกับผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมโดยใช้เหตุแห่งการติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นเหตุผลในการกำหนดนโยบายราคา
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขมีหนังสือแจ้งเวียนให้สถานพยาบาลเอกชนดำเนินการให้ไม่มีการเลือกปฏิบัติจากการเรียกเก็บค่าบริการจากผู้ติดเชื้อเอชไอวี สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับหลักการป้องกันแบบครอบจักรวาล (Universal Precautions: UP) อย่างต่อเนื่องให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการพัฒนานำหลักการ UP ไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันให้โรงพยาบาลรัฐและเอกชนนำเสนอรายละเอียดค่าบริการ รายหัตถการ/กิจกรรม แก่ผู้รับบริการทุกราย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกเข้ารับบริการตามประเภทสถานพยาบาลที่เหมาะสม ทั้งนี้ ค่าบริการที่กำหนดควรสมเหตุสมผลกับประเภทของสถานพยาบาล
ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานประกันสังคมพิจารณาทบทวนต้นทุนและงบประมาณที่จำเป็นเพื่อทำให้หลักการ UP เป็นบริการมาตรฐานการให้บริการสำหรับทุกโรคและปฏิบัติได้จริง และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งกำหนดมาตรฐานการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการทางการแพทย์ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ในโรงพยาบาลเอกชน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542






