
นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พิจารณาเห็นว่า การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประเทศไทยรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยุทธศาสตร์ชาติ แต่การเข้าถึงความยุติธรรมกลับเป็นเรื่องยาก เนื่องจากประชาชนยังไม่เข้าใจบทบัญญัติของกฎหมาย ส่งผลให้ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบ โดย “ความยากจน” ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะกระบวนการดำเนินคดีมีค่าใช้จ่ายสูง กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดตั้งกองทุนยุติธรรม ตามพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน จากสถิติการดำเนินงานของกองทุนยุติธรรมตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 – 2567 พบว่า จำนวนผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สัดส่วนของผู้ที่ได้รับการอนุมัติยังคงอยู่ที่ประมาณร้อยละ 55 ของคำร้องทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดในกระบวนการพิจารณาคำขอ โดยเฉพาะหลักเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือที่อาจมีความเข้มงวดมากเกินไป และสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและปรับปรุงเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม จึงมีมติให้ศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย
กสม. พิจารณาบทบัญญัติของกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน เอกสารงานวิจัย กรณีตัวอย่างการปฏิบัติของต่างประเทศ ข้อมูล และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 เป็นกลไกสำคัญในระบบให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน แต่ยังมีข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนใน 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ปัญหาหลักเกณฑ์การพิจารณาพฤติกรรมและข้อเท็จจริงของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือตามข้อ 11 ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และข้อ 11 ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีบทบัญญัติที่สามารถตีความได้อย่างกว้าง เช่น “ต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ส่งผลให้คดีหลายประเภทไม่ได้รับความช่วยเหลือ โดยเฉพาะคดีที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมที่เกี่ยวกับนโยบายของรัฐหรือประชาชนเป็นคู่กรณีกับหน่วยงานรัฐ คดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลักษณะการกระทำความผิดส่วนใหญ่ที่ถูกปฏิเสธคำขอ เช่น ความผิดที่มีอัตราโทษสูง ความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก ความผิดที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก โดยเป็นคดีที่ยังไม่มีการพิจารณาพิพากษาของศาล จึงขัดกับหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ (presumption of innocence)
สำหรับปัญหาการพิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือ เห็นว่า พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 มิได้กำหนดคำนิยาม “ความยากจน” ให้ชัดเจนว่ามีขอบเขตเพียงใด แม้จะมีการกำหนดแนวทางการพิจารณาฐานะไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมฯ แต่ก็ยังมีอุปสรรคในการพิสูจน์ฐานะทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ มาตรา 28 (2) ของกฎหมายดังกล่าวยังกำหนดให้ต้องพิจารณาฐานะของผู้ยื่นคำขอ ซึ่งเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย ซึ่ง กสม. เห็นว่าไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคลนั้น เนื่องจากรัฐมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอยู่แล้ว
ส่วนปัญหาการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีศาลมีคำพิพากษายกฟ้องด้วยเหตุยกประโยชน์แห่งความสงสัยหรือพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ นั้น ข้อ 9 (3) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาให้ความช่วยเหลือไว้ว่าหากเป็นกรณีที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุยกประโยชน์แห่งความสงสัยหรือพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ จำเลยจะไม่สามารถขอรับความช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่งผลให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือตามกฎหมายกองทุนยุติธรรม
นอกจากนี้ ปัญหาการตีความการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ 7/2560 ได้วางแนวทางการพิจารณากรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนว่า ต้องเป็นการกระทำโดยจงใจกลั่นแกล้งหรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยไม่มีอำนาจเท่านั้น หากไม่พบการกลั่นแกล้งจะไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประชาชนสามารถฟ้องร้องคดีทางแพ่งต่อเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาความเสียหายได้ แนวทางการตีความดังกล่าวถูกนำมาใช้ในการพิจารณาอนุมัติให้ความช่วยเหลือตามข้อ 9 ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมฯ เป็นการผลักภาระให้ประชาชนไปใช้สิทธิฟ้องคดีด้วยตนเอง ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของการเยียวยาผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอันเป็นหน้าที่ของรัฐ
ประเด็นที่ 2 ปัญหาการทบทวนผลการพิจารณาคำขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม กรณีคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือหรือคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัดมีคำสั่งอนุมัติ ไม่อนุมัติ หรือยุติให้ความช่วยเหลือ ถือเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือ โดยพระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2559 ไม่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการอุทธรณ์ไว้เป็นการเฉพาะจึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นกฎหมายกลาง แม้ว่าระเบียบกองทุนยุติธรรม ข้อ 19 ให้สิทธิยื่นขอทบทวนผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ แต่เป็นการยื่นต่อคณะอนุกรรมการฯ ชุดเดิม จึงยากที่จะมีการเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยของตนเอง
ประเด็นที่ 3 ปัญหาการขึ้นบัญชีทนายความและการแต่งตั้งทนายความเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดีของกองทุนยุติธรรม ที่ผ่านมาทางกองทุนยุติธรรมพิจารณาเพียงความครบถ้วนตามคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนดก็จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นบัญชีทนายความของกองทุนยุติธรรม ซึ่งมีเพียงบัญชีเดียวและไม่ได้แยกประเภทบัญชีตามประเภทคดีหรือตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ส่งผลให้เมื่อมีการยื่นคำขอรับความช่วยเหลือจากประชาชน กองทุนยุติธรรมจะแต่งตั้งทนายความตามลำดับการขึ้นบัญชี โดยไม่ได้พิจารณาถึงความเชี่ยวชาญของทนายความว่ามีความเหมาะสมกับประเภทคดีหรือไม่
ประเด็นที่ 4 ปัญหาสัดส่วนในองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด เห็นว่า ส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานราชการในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งแม้ว่าสำนักงานกองทุนยุติธรรมจะมีความพยายามในการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมหรือผู้แทนเครือข่ายยุติธรรมชุมชนที่ยุติธรรมจังหวัดคัดเลือกไว้ในสัดส่วนของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัด จาก 1 คน เป็น 2 คนแล้ว แต่ก็ยังไม่สมดุลกับสัดส่วนของผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ทำให้ความเห็นหรือมติที่ประชุมขาดเสียงสะท้อนจากภาคประชาชนที่เข้าใจบริบทหรือปัญหาในเชิงพื้นที่อย่างแท้จริง
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อมอบหมายกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานกองทุนยุติธรรม ปรับปรุงแก้ไขคู่มือมาตรฐานการปฏิบัติงานกองทุนยุติธรรมซึ่งเป็นแนวทางการพิจารณาคำขอเพื่อให้เจ้าหน้าที่มีบรรทัดฐานประกอบการพิจารณาในแต่ละพื้นที่ไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ปรับปรุง (1) การพิจารณาพฤติกรรมและข้อเท็จจริงของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือโดยไม่เป็นการตัดสินคดีของผู้ยื่นคำขอทั้งที่ยังไม่มีการพิจารณาพิพากษาของศาล (2) หลักเกณฑ์พิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ยื่นคำขอรับความช่วยเหลือให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและยกเลิกหลักการพิจารณาฐานะทางเศรษฐกิจประกอบคำขอของผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน (3) ให้แยกประเภทบัญชีทนายความตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อให้กองทุนยุติธรรมสามารถจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้อย่างเหมาะสมตามประเภทคดีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยร้องขอ และ (4) ให้ยกเลิกการใช้แนวทางการพิจารณาตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนยุติธรรม ครั้งที่ 7/2560 ที่ให้การชดเชยเยียวยาผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องพิจารณาว่าได้กระทำโดยจงใจกลั่นแกล้ง หรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยไม่มีอำนาจเท่านั้น เนื่องจากรัฐมีหน้าที่รับผิดชอบเยียวยาโดยไม่จำต้องคำนึงถึงเจตนาของเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ ให้แก้ไขปรับปรุงข้อ 9 (3) ของระเบียบคณะกรรมการกองทุนยุติธรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. 2559 โดยกำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาเพียงกรณีที่ “ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง” เพื่อให้สอดคล้องตามหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ และให้เพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการอุทธรณ์ผลการพิจารณาที่ไม่อนุมัติความช่วยเหลือและกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คำขอโดยเฉพาะอีกชั้นหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการทบทวนคำสั่งโดยคณะอนุกรรมการฯ ชุดเดิม ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลคำสั่งทางปกครอง รวมทั้งให้ปรับปรุงสัดส่วนองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือประจำจังหวัดระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนให้สมดุลกัน





