“… พรมแดนคือแนวกันชนของประเทศ แต่ในบางยุคสมัย มันกลายเป็น “ประตูหลัง” ให้ของผิดกฎหมาย ยาเสพติด และอิทธิพลสีเทาไหลทะลักเข้ามา…
ในพื้นที่ห่างไกลจากสายตาสื่อ กลับมีจุดที่เรียกว่า “ช่องบก” เส้นทางผ่านแดนทางบกที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ในความเป็นจริง ช่องบกเหล่านี้คือ “จุดยุทธศาสตร์” ที่มีบทบาททั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง และการข่าว
ในยุครัฐบาล คสช. และต่อเนื่องถึงรัฐบาลประยุทธ์ ชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำกับดูแลความมั่นคง โดยใช้บทบาทเงาแต่จริงจัง คุมแนวชายแดนทั้งด้านลับและเปิดเผย และวันนี้…เมื่อ “ผู้คุมแนวเงา” อย่างบิ๊กป้อมเริ่มถอยหลัง
> ประเทศไทยมีใคร “กล้าและเก่งพอ” ที่จะปกป้องพรมแดนจริง ๆ แทนเขา? …”

ความหมายของ “ช่องบก” คืออะไร?
> “ช่องบก” คือทางผ่านด่านพรมแดนที่เชื่อมโยงประเทศหนึ่งไปยังประเทศเพื่อนบ้านทาง “ทางบก” เช่น ถนนหรือเส้นทางภูเขา
> บางแห่งเป็น จุดผ่านแดนถาวร ที่เปิดถูกต้องตามกฎหมาย
> บางแห่งเป็นเพียง “ช่องทางธรรมชาติ” ที่ไม่ได้มีระบบตรวจคนเข้าเมืองประจำ
ช่องบกจึงไม่ใช่แค่ “ทางเข้า–ออกประเทศ” เท่านั้น
แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เกิดกิจกรรมซับซ้อน เช่น
- การค้า (ทั้งถูกและผิดกฎหมาย)
- การเคลื่อนย้ายแรงงาน
- การลำเลียงยาเสพติด
- การหลบหนีของผู้ต้องหา หรือกระทั่งกลุ่มการเมืองพลัดถิ่น
- และยิ่งในพื้นที่ชายแดนไทย–ลาว–กัมพูชา ช่องบกหลายจุดจึงเป็นทั้ง “โอกาสทางเศรษฐกิจ” และ “ช่องโหว่ด้านความมั่นคง” พร้อมกัน



“เมื่อชายแดนรั่ว – ใครคือผู้เปิดประตู?”
ย้อนกลับไปช่วงปี 2547–2550
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เผชิญปัญหาชายแดนที่รุนแรงแต่ไร้ประสิทธิภาพในการจัดการ:
- เขาพระวิหาร ไทยเสียความได้เปรียบทางการทูต–แผนที่ ปล่อยให้กัมพูชาใช้ช่องทางยื่นต่อศาลโลกแบบไร้การคัดค้าน
- ยาเสพติด ลำเลียงทะลุแนวกันชนเข้าสู่ภาคอีสานและเหนือ แม้มี “สงครามยาเสพติด” แต่กลับกลายเป็น “เกมฆ่าผิดคน” มากกว่าจับเจ้าพ่อจริง
- แรงงานเถื่อน–ค้ามนุษย์ ไทยกลายเป็นทั้งทางผ่านและปลายทางโดยไร้ระบบลงทะเบียนควบคุม

“บิ๊กป้อม” – เมื่อผู้อยู่ในเงา ยืนคุมแผ่นดิน
ในยุครัฐบาล คสช. และต่อเนื่องถึงรัฐบาลประยุทธ์
ชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กำกับดูแลความมั่นคง โดยใช้บทบาทเงาแต่จริงจัง คุมแนวชายแดนทั้งด้านลับและเปิดเผย
- สร้างสายสัมพันธ์ทหารกับ ลาว–กัมพูชา ระดับแม่ทัพถึงผู้นำประเทศ
- ดึงเพื่อนบ้านตั้ง กลไกข่าวกรอง 3 ฝ่าย ประจำชายแดน
- ตั้งศูนย์สกัดยาเสพติดในจุดช่องบกที่เคยเป็นทางผ่านหลักของแก๊งค้ายา
- จัดระเบียบแรงงานผิดกฎหมาย แปรเปลี่ยนเป็นระบบ MOU ที่ตรวจสอบได้
- ขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ไม่ให้กลุ่มทุนสีเทาผูกขาดพื้นที่เงา
> ไม่มีนโยบายขายฝัน
> ไม่มีคารมแบบนักเลือกตั้ง
> แต่พรมแดน…กลับนิ่งเงียบกว่าทุกยุค
เปรียบให้เห็นภาพ: “ชายแดนไทย ในมือใครมั่นคงกว่า?”
กรณี “เขาพระวิหาร”
รัฐบาลทักษิณ – พลาดการคัดค้านแผนที่ ส่งผลเสียต่อไทยในเวทีโลก
ขณะที่ยุค พล.อ.ประวิตร – คุมสถานการณ์ด้วยทหาร–ข่าวกรอง ไม่ให้ลุกลามเป็นสงคราม
กรณี “ยาเสพติดชายแดนเหนือ”
รัฐบาลทักษิณ – สงครามยาเสพติดลงลึกไม่ถึงเครือข่ายจริง กลับมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนมาก
ขณะที่ยุค พล.อ.ประวิตร – ใช้ความร่วมมือข่าวกรองไทย–ลาว–เมียนมา สกัดเส้นทางลำเลียงตั้งแต่ชายแดน
กรณี “แรงงานเถื่อนกัมพูชา–ลาว”
รัฐบาลทักษิณ – แรงงานล้นเมือง ไร้ระบบควบคุมชัดเจน นายหน้าค้ามนุษย์แฝงในระบบราชการ
ขณะที่ยุค พล.อ.ประวิตร – จัดระเบียบ MOU ระบบลงทะเบียนแบบใหม่ พร้อมตั้งจุดคัดกรองช่องบก
กรณี “เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน”
รัฐบาลทักษิณ – เปิดทางกลุ่มทุนใหญ่ถือครองผลประโยชน์โดยไม่มีกรอบควบคุม
ขณะที่ยุค พล.อ.ประวิตร – พัฒนาพื้นที่ร่วมกับกอ.รมน. เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและข่าวกรอง
กรณี “ผู้ลี้ภัยการเมืองไทยในกัมพูชา”
รัฐบาลทักษิณ – กลุ่มต่อต้านรัฐใช้กัมพูชาเป็นฐานเคลื่อนไหวโจมตีไทย
ขณะที่ยุค พล.อ.ประวิตร – คุมข้อตกลงลับกับกัมพูชา ปิดช่องการเคลื่อนไหวใต้ดินผ่านสายสัมพันธ์พิเศษ

คำถาม ถึงประชาชนคนไทยทุกคน
> หากช่องบกคือ “เส้นเลือดใหญ่ของชาติ”
> แล้วคุณไว้ใจใครให้ดูแลมัน?
> ใครกันแน่…ที่ปล่อยให้พรมแดนไทยกลายเป็นเส้นทางของทุนเถื่อน แรงงานเถื่อน และยาเสพติด?
> ใครกันแน่…ที่กล้าเดินข้ามพรมแดนโดยไม่ต้องผ่านทูต แต่จบเรื่องด้วยคำพูดคำเดียว?
> ใครกันแน่…ที่บริหารชายแดนแบบขายฝัน แต่ไม่เหลือกำลังคุมจริง?
และวันนี้…เมื่อ “ผู้คุมแนวเงา” อย่างบิ๊กป้อมเริ่มถอยหลัง
ประเทศไทยมีใคร “กล้าและเก่งพอ” ที่จะปกป้องพรมแดนจริง ๆ แทนเขา?
#สืบจากข่าว รายงาน