พ่อเมืองชลฯ เต้น!!! เร่งเจ้าของพื้นที่ควานหาตัวรถรับจ้างรุมทำร้ายนักท่องเที่ยว หวั่นเสียภาพลักษณ์ ด้านผู้ก่อเหตุเผยเหตุเกิดจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน ต่างคนต่างแรกถีบคนละครั้งก่อนแยกย้าย ไม่มีการรุมทำร้ายแต่อย่างใด
(15 เม.ย.68) ณ ห้องประชุม สภ.เมืองพัทยา นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยานายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง, พ.ต.อ.พาติกรณ์ ศรชัย รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี, พ.ต.อ.เอนก สระทองอยู่, พ.ต.ท.ต่อลาภ ตินะมาตร สวญ.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1 ทำการแถลงข่าว กรณีมีการโพสต์คลิปในสื่อโซเชี่ยล พร้อมข้อความ “สุดกร่าง! แก๊งมาเฟียคุมวินแท็กซี่พัทยา รุมกระทืบนักท่องเที่ยวแบบไม่แคร์สายตา” ทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา เหตุเกิดบริเวณถนนเลียบชายหาดพัทยาใต้ ปากทางเข้าวอล์คกิ้ง สตรีท พัทยาใต้
ซึ่งในวันนี้ได้นำบุคคลที่ปรากฏในคลิปวิดีโอดังกล่าวมาเพื่อพูดคุยสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายพิทยา หรือ ดำ อายุ 27 ปี และนายอภิเชษฐ์ หรือ ฟิล์ม อายุ 30 ปี ให้การรับสารภาพว่าทั้งสองเป็นบุคคลในคลิปวิดีโอดังกล่าวจริง โดยนายดำและนายฟิลม์ จะเป็นผู้คอยให้บริการเรียกรถรับจ้างให้กับนักท่องเที่ยว ในวันที่เกิดเหตุนายดำได้มีปากเสียงกับนักท่องเที่ยวชาวบังคลาเทศ จำนวน 3 – 4 คน ในขณะที่เรียกรถสองแถวให้ไปส่งเพื่อนร่วมสัญชาติที่มีอาการเจ็บป่วย แต่เนื่องจากสื่อสารกันไม่เข้าใจ นักท่องเที่ยวได้พูดจาหยาบคายใส่ตน ทำให้เกิดความไม่พอใจจึงได้ผลักหน้าอกนักท่องเที่ยวไป จากนั้นนักท่องเที่ยวและกลุ่มเพื่อนได้พุ่งเข้ามาต่อยตนและนายฟิล์ม ตนและนายฟิล์มจึงต่อยและใช้เท้ายันนักท่องเที่ยวคืนไปคนละ 1 ครั้ง จนมีคนมาแยกและแยกย้ายกันไป ขอชี้แจงว่าที่เห็นปรากฏในคลิปว่ามีคนมารุมเยอะ เนื่องจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์บริเวณนั้น ต่างพยายามเข้ามาห้ามปราม จึงทำให้เห็นว่ามีคนเยอะ ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้มีการรุมทำร้ายตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ซึ่งภายหลังที่พูดคุยเสร็จ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีได้ว่ากล่าวตักเตือนหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่อย่าไปตัดสินกันเอง ซึ่งทั้งสองก็ยอมรับว่าผิดจริง ส่วนคู่กรณีซึ่งเป็นชาวบังคลาเทศก็ไม่ได้มีการแจ้งความร้องทุกข์แต่อย่างใด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ได้นำทั้งสองคนส่งพนักงานสอบสวนฯ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป




















อติชาต สุขยืน รายงาน