เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 ก.ค.68 น.ส.นิสากร (สงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี ผู้เสียหาย ถูกอดีตสามีบุกรุกและทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงด้วยการบีบคอ ได้เข้าร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ริมถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม.โดยมีจ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ. เป็นผู้พาเข้าพบ เพื่อขอความช่วยเหลือหลังตกเป็นเหยื่อความรุนแรงแล้วแต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
น.ส.นิสากร เปิดเผยว่า เธอคบหากับนายเอก อายุ 40 ปี อดีตสามีมานานกว่า 5 ปี แต่เมื่อเข้าปีที่ 6 กลับพบว่านายเอกไปคบหา น.ส.ส้ม และมีความสัมพันธ์กันขณะที่ยังไม่เลิกกับตน
ต่อมา น.ส.ส้ม ได้พาพวกรุมทำร้ายตน โดยนายเอกอยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ช่วยเหลือ ทำให้ตนต้องไปแจ้งความที่ สน.พระราชวัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแนะนำให้ไปตรวจร่างกายและหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิด โดยให้ระบุตัวผู้ก่อเหตุ 2 คน
หลังเกิดเหตุการณ์นั้น น.ส.นิสากรจึงตัดสินใจแยกทางกับนายเอก แม้ว่านายเอกจะพยายามตามง้อขอคืนดีมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เธอยืนยันว่าจะไม่กลับไปใช้ชีวิตร่วมกันอีก ทำให้นายเอกไม่พอใจและยังคงตามมาราวีอย่างต่อเนื่อง โดยบุกรุกเข้ามาในบ้านของพ่อแม่ที่เธอย้ายกลับมาอยู่ในพื้นที่ สน.สำราญราษฎร์ ก่อเหตุทำร้ายร่างกายหลายครั้ง รวมถึงการบีบคอภายในบ้านตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.67 เป็นต้นมา
น.ส.นิสากร ได้แจ้งความร้องทุกข์ลงบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ พร้อมมอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์บุกรุกไว้เป็นหลักฐาน แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะรับปากว่าจะออกหมายจับนายเอก แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่นายเอกยังคงก่อกวนและบุกรุกเข้ามาในบ้านของเธออย่างต่อเนื่อง มีคลิปและกล้องวงจรปิดจับภาพได้ชัดเจน
น.ส.นิสากร ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยเรียกนายเอกไปปรับทัศนคติแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น นายเอกยังคงคุกคามเธอไม่หยุดหย่อน ครั้งล่าสุดถึงกับมานั่งรออยู่หน้าบ้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เมื่อเธอแจ้งความอีกครั้ง ตำรวจกลับแจ้งว่าหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 จึงจะดำเนินคดีให้
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อ น.ส.นิสากร แจ้งความในครั้งถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับออกหมายเรียกเธอให้ไปพบในฐานะพยาน เพื่อให้ปากคำและส่งมอบพยานหลักฐาน
เธอรู้สึกว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่ ทั้งที่เธอ เห็นตกเป็นเหยื่อความรุนแรง เนื่องจากได้ส่งหลักฐาน วงจรปิดให้กับพนักงานสอบสวนทางไลน์ แต่ทางตำรวจบอกว่าไม่ได้จะต้องไลฟ์ใส่แผ่นซีดีไปให้ เมื่อดำเนินการนำแผ่นซีดีไปมอบให้อีกครั้งก็ บอกให้ตนกลับไปเอาแผ่นซีดีคืนเพราะไม่มีข้อมูลบันทึกไว้เลย
สร้างความสับสนให้กับเธอเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากสอบปากคำเสร็จก็ให้เธอกลับบ้านไป แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอกลับได้รับหมายเรียกให้ไปพบอีกครั้ง และเมื่อเธอยืนยันว่าติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัด ก็ถูกออกหมายเรียกครั้งที่สอง และครั้งที่สาม โดยส่งหมายเรียกไว้กับคุณพ่อที่บ้าน พร้อมขู่ว่าจะออกหมายจับเธอหากไม่นำหลักฐานคลิปวงจรปิดไปส่งพนักงานสอบสวน ทำให้เธอรู้สึกว่าครอบครัวไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น.ส.นิสากร จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับจ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ และเดินทางมาที่กองปราบปรามในวันนี้ เพื่อหวังว่าจะได้รับความคุ้มครองและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
เบื้องต้น พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้สอบปากคำผู้เสียหายแล้ว และจะประสานกับสถานีตำรวจท้องที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายและยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อไป














