วันที่ 7 ก.ย.68 นายกฤษฎา อินทามระ หรือ ทนายปราบโกง เปิดเผยว่า ตนและ อดีตพนักงานการท่าเรือฯ เตรียมยื่นฟ้องคดีละเมิดโดยขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียม 2% ต่อศาลแพ่งแล้ว พร้อมกับจะไปร้องเรียนต่อนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เพื่อแฉพฤติกรรมอันเหลวแหลกของผู้บริหารการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) โดยนำคำฟ้องของทุกคนไปให้นายกอนุทินดู ซึ่งจะมีรายละเอียดพฤติกรรมการโกงค่าล่วงเวลาของการท่าเรือตั้งแต่ปี 2526 ถึงปี 2552 รวมเวลาที่โกงไปนาน 26 ปี
กล่าวคือในปี 2552 ศาลฎีกาพิพากษาเป็นที่สุดว่า การท่าเรือฯ เป็นกิจการขนถ่าย ไม่ใช่กิจการขนส่ง จึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลาเป็นรายชั่วโมง แต่การท่าเรือฯ ก็ยังฝ่าฝืนคำพิพากษาศาลฎีกาจึงไม่ยอมจ่ายค่าล่วงเวลาเป็นรายชั่วโมง
“ประเด็นนี้ถือว่ามีความผิดข้อหาละเมิดอำนาจศาลหรือดูหมิ่นศาลฎีกาหรือไม่…?!!”
นอกจากนี้การท่าเรือฯ ยังมีแผนร้ายที่จะไม่ต้องรับโทษในข้อหาดังกล่าว จึงส่งผู้บริหารไปร้อง ดีเอสไอ กล่าวหาว่า พวกที่ฟ้องคดีล่วงเวลานับพันคนที่ศาลแรงงานกลาง เป็นพวกโกงค่าล่วงเวลา ประเด็นนี้จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยโดยตรง
พนักงาน กทท. ที่ถูก ดีเอสไอ ดำเนินคดี จึงต้องฟ้องการท่าเรือฯ ข้อหาละเมิดเรียกเงินค่าสียหายคนละ 4,000,000 บาท ปรากฎตามคำฟ้องของทุกคนที่จะนำข้อมูลมาฟ้องนายกรัฐมนตรีให้ทราบ
นายกฤษฎา กล่าวต่อ หากปล่อยให้การท่าเรือฯ ประพฤติตนเป็นอันธพาลใช้อำนาจมากดขี่ขมเหงพนักงาน กทท. เช่นนี้ต่อไป แต่สุดท้ายศาลแพ่งพิพากษาว่าการท่าเรือฯ ผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้ องค์กรรัฐซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลก็จะถูกคนทั้งประเทศตราหน้าว่าเป็นองค์กรอันธพาล
ดังนั้น รัฐบาลของนายอนุทินจึงต้องเข้าไปจัดการองค์กรนี้ให้ใสสะอาดปราศจากมณฑิลเพื่อดำรงสืบไป
ทนายปราบโกง กล่าวว่า รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ กลับมีความคิดนำที่ดินของการท่าเรือฯ ไปทำเอ็นเทอร์เมนต์คอมแพล็กซ์ ที่มีบ่อนคาสิโน แอบแฝง แต่การท่าเรือฯ มีความพยายามที่จะมอบพื้นที่ให้แก่รัฐบาลด้วยดี ทั้งที่รู้ว่าผิด พรบ.เวนคืนฯ
ดังนั้น เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้แก่รัฐบาลชุดใหม่นี้ จึงขอให้นายอนุทิน จัดการกับการท่าเรือฯ ให้ชดใช้ความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีเหล่านี้ โดยไม่ต้องรอให้ศาลแพ่งมีคำพิพากษาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชาติและประชาชนและยังสามารถยับยั้งค่าดอกเบี้ยตามฟ้องร้อยละ 7.5% ต่อปีซึ่งมียอดเงินค่าดอกเบี้ยปีละไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทอีกด้วย




