





นายอนุวัฒน์ ธาราแสวงตุลาการศาลปกครองสูงสุด เพื่อนซี้เรียนหลักสูตรศาลรัฐธรรมนูญรุ่นเดียวบิ๊กต่าย เหตุ รู้ตัวเป็นเพื่อนบิ๊กต่าย ผู้ถูกฟ้องคดีตั้งแต่แรกแต่กลับยังนั่งพิจารณาคดีเฉย ไม่ยอมถอนตัว ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าขัดต่อจริยธรรม ความเป็นกลาง ไม่โปร่งใส เอื้อประโยชน์อีกฝ่าย
วันนี้ 9 สิงหาคม 2568 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ได้เดินทางไปที่ศาลปกครองสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องขอคัดค้านการทำหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุด และขอให้ปฏิบัติตามจริยธรรมตุลาการศาลปกครองสูงสุด ข้อ 6 ในคดีที่พลตำรวจเอกกิตติรัฐ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน
ทั้งนี้เนื่องจากพบว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการพิจารณาสำนวนคดี แต่กลับพบว่าตุลาการท่านนี้ ได้เรียนหลักสูตร นิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย หรือ นปธ. ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหลักสูตรเดียวกับที่พลตำรวจเอกกิตติรัฐ เรียนอยู่
โดยตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปี ที่ทั้งคู่เรียนด้วยกัน มีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันทั้งในช่วงเวลาเรียน และออกไปศึกษาดูงาน รวมทั้งการพบปะสังสรรค์ระหว่างการเรียน จึงทำให้เกิดความสนิทสนมในฐานะเพื่อน
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า ความเป็นเพื่อน ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ถูกร้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง ซึ่งเป็นผู้ร้อง
โดยมองว่าความสนิทสนมของทั้งคู่ อาจทำให้การทำหน้าที่ ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ ไม่เกิดความเป็นกลาง และขาดความสุจริตในการพิจารณาสำนวน
ดังนั้นจึงขอคัดค้านการ ปฎิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ และขอให้มีการสอบจริยธรรม และวินัย ด้วย
ทั้งนี้เนื่องจาก ตุลาการท่านนี้ ทราบเป็นอย่างดี ว่าตัวเองมีความสนิทสนมกับพลตำรวจเอกกิตติรัฐ ในระหว่างเรียน และรู้ว่าเพื่อนร่วมหลักสูตรคนนี้เป็นผู้ถูกร้องในคดี ที่ตุลาการท่านนี้ เป็นผู้พิจารณาสำนวน แต่ท่านกลับเพิกเฉย ไม่ขอถอนตัวจากคดี ทั้งที่เรื่องนี้ เป็นเรื่องของจริยธรรมและวินัย ของศาลปกครอง
การไม่ขอถอนตัวจากคดี จึง ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมของศาลปกครอง ข้อ 6 ซึ่งเขียนไว้ชัดว่า ตุลาการศาลปกครอง พึงถอนตัวจากการพิจารณาและพิพากษาคดีเมื่อมีเหตุที่ตนอาจถูกคัดค้านได้ตามกฎหมาย หรือเมื่อมีเหตุประการอื่นที่เกี่ยวกับตัวตุลาการศาลปกครอง อันอาจทำให้การพิจารณา พิพากษาคดีนั้น เสียความ ยุติธรรรม และจักต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการจูงใจตุลาการศาลปกครอง ซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นในภายหลังในประการที่อาจทำให้เสียความยุติธรรมได้
และยังเป็นการทำผิดวินัย แห่งการเป็นข้าราชการตุลาการศาลปกครอง ข้อ 5 ด้วย
ในครั้งนี้จึงเดินทางมายื่นข้อร้องเรียน ต่อประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้ ประธานศาลปกครองสูงสุด ดำเนินการทางจริยธรรม และสอบวินัย กับตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ด้วย
วันนี้ 9 สิงหาคม 2568 พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล ได้เดินทางไปที่ศาลปกครองสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องขอคัดค้านการทำหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุด และขอให้ปฏิบัติตามจริยธรรมตุลาการศาลปกครองสูงสุด ข้อ 6 ในคดีที่พลตำรวจเอกกิตติรัฐ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน
ทั้งนี้เนื่องจากพบว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการพิจารณาสำนวนคดี แต่กลับพบว่าตุลาการท่านนี้ ได้เรียนหลักสูตร นิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย หรือ นปธ. ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหลักสูตรเดียวกับที่พลตำรวจเอกกิตติรัฐ เรียนอยู่
โดยตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปี ที่ทั้งคู่เรียนด้วยกัน มีกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกันทั้งในช่วงเวลาเรียน และออกไปศึกษาดูงาน รวมทั้งการพบปะสังสรรค์ระหว่างการเรียน จึงทำให้เกิดความสนิทสนมในฐานะเพื่อน
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า ความเป็นเพื่อน ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ถูกร้อง อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง ซึ่งเป็นผู้ร้อง
โดยมองว่าความสนิทสนมของทั้งคู่ อาจทำให้การทำหน้าที่ ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ ไม่เกิดความเป็นกลาง และขาดความสุจริตในการพิจารณาสำนวน
ดังนั้นจึงขอคัดค้านการ ปฎิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ และขอให้มีการสอบจริยธรรม และวินัย ด้วย
ทั้งนี้เนื่องจาก ตุลาการท่านนี้ ทราบเป็นอย่างดี ว่าตัวเองมีความสนิทสนมกับพลตำรวจเอกกิตติรัฐ ในระหว่างเรียน และรู้ว่าเพื่อนร่วมหลักสูตรคนนี้เป็นผู้ถูกร้องในคดี ที่ตุลาการท่านนี้ เป็นผู้พิจารณาสำนวน แต่ท่านกลับเพิกเฉย ไม่ขอถอนตัวจากคดี ทั้งที่เรื่องนี้ เป็นเรื่องของจริยธรรมและวินัย ของศาลปกครอง
การไม่ขอถอนตัวจากคดี จึง ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมของศาลปกครอง ข้อ 6 ซึ่งเขียนไว้ชัดว่า ตุลาการศาลปกครอง พึงถอนตัวจากการพิจารณาและพิพากษาคดีเมื่อมีเหตุที่ตนอาจถูกคัดค้านได้ตามกฎหมาย หรือเมื่อมีเหตุประการอื่นที่เกี่ยวกับตัวตุลาการศาลปกครอง อันอาจทำให้การพิจารณา พิพากษาคดีนั้น เสียความ ยุติธรรรม และจักต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการจูงใจตุลาการศาลปกครอง ซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นในภายหลังในประการที่อาจทำให้เสียความยุติธรรมได้
และยังเป็นการทำผิดวินัย แห่งการเป็นข้าราชการตุลาการศาลปกครอง ข้อ 5 ด้วย
ในครั้งนี้จึงเดินทางมายื่นข้อร้องเรียน ต่อประธานศาลปกครองสูงสุด ที่ศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้ ประธานศาลปกครองสูงสุด ดำเนินการทางจริยธรรม และสอบวินัย กับตุลาการศาลปกครองสูงสุดท่านนี้ด้วย








