ขณะที่สภาผู้บริโภคเตือน ยังมีอาหารเสริมโฆษณาเกินจริงวางขายเกลื่อนออนไลน์ ชี้ช่องโหว่กฎหมายยังตามไม่ทันดีเอสไอส่งฟ้อง 17 ผู้ต้องหาคดี “ดีคอนแทค” โฆษณาหลอกลวง
วันนี้ (10 กันยายน 2568) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ได้ส่งสำนวนคดีพิเศษที่ 52/2563 ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “ดีคอนแทค” และ “ดีคอนแทคพลัส” ให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจำนวน 17 ราย (เป็นนิติบุคคล 2 ราย และบุคคลธรรมดา 15 ราย) หลังพบพฤติการณ์อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงและหลอกลวงประชาชน
คดีนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2563 หลังจากที่ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อดีเอสไอ เนื่องจากพบการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทั้ง YouTube, Facebook และเว็บไซต์ ที่มีการนำชื่อและรูปภาพของจักษุแพทย์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวสามารถรักษาโรคตาได้หลายชนิด เช่น ต้อลม ต้อเนื้อ ต้อกระจก วุ้นในตาเสื่อม และเบาหวานขึ้นตา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “ดีคอนแทค” เป็นเพียงอาหารเสริมที่ไม่สามารถรักษาโรคได้
การสอบสวนพบว่ามีผู้ต้องหาทั้งหมด 21 ราย โดยมีผู้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 18 ราย และอยู่ระหว่างการติดตามตัวอีก 1 ราย ขณะที่ผู้ต้องหาอีกส่วนหนึ่งถูกดำเนินคดีไปแล้วในคดีพิเศษที่ 53/2563 กรณีผลิตภัณฑ์ “ไซตาพลัส” ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาให้จำคุกและปรับผู้ต้องหาไปเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568
การกระทำของผู้ต้องหาเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ ทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550, พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา ในข้อหาโฆษณาอันเป็นเท็จและหลอกลวงผู้บริโภค รวมถึงการผลิตและจำหน่ายอาหารปลอม
สภาผู้บริโภคเตือน! แม้ถูกจับแล้วก็ยังขายออนไลน์ได้
ด้าน สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ออกมาเตือนภัยว่า แม้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสายตาที่โฆษณาเกินจริงหลายยี่ห้อจะเคยถูกดำเนินการตามกฎหมายแล้ว แต่ก็ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายทางช่องทางออนไลน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องโหว่และปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวดเพียงพอ
สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ร่วมกับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ฯ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ และพบว่าจากรายชื่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงดวงตาที่เข้าข่ายโฆษณาเกินจริง 22 รายการที่เคยส่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตรวจสอบ ปัจจุบันมีถึง 14 รายการ ที่แม้จะถูก อย. สั่งให้ระงับการโฆษณาและดำเนินคดีไปแล้ว แต่ก็ยังคงวางขายอยู่บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณในการรักษาโรค เพราะอาหารเสริมไม่ใช่ยา และหากมีปัญหาด้านสุขภาพดวงตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมจะดีที่สุด







