เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ก.ย.68 ที่หน้าแดนเนรมิตเก่า ข้างกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ถนนพหลโยธิน อี้แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และ เก่ง สุเชษฐ์ ผู้ช่วยประธานชมรมฯ ได้นำผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อจากการถูกหลอกให้ลงทุนโดย “แม่ปูนา” อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง และบุคคลที่อ้างตัวเป็น CEO เข้าร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดำเนินคดีในข้อหาทำสัญญาไม่เป็นธรรมและเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยพบว่ามีผู้เสียหายบางรายถึงขั้นเครียดจนคิดสั้น
ผู้เสียหายที่เดินทางมาร้องทุกข์ประกอบด้วยผู้ที่ถูกชักชวนให้กู้ยืมเงินเพื่อไปลงทุนโดย “แม่ปูนา” และผู้เสียหายอีก 3 รายจากต่างจังหวัด ซึ่งถูกบุคคลที่อ้างตัวเป็น CEO โฆษณาผ่านแอปพลิเคชัน TikTok ว่าจะให้เงินลงทุนกับผู้ประกอบการรายย่อยและขนาดกลาง
ผู้เสียหายเปิดเผยว่า หลังจากได้รับเงิน บุคคลดังกล่าวจะให้เซ็น “สัญญาร่วมทุน” และเรียกเก็บผลประโยชน์เป็น เงินปันผลสูงถึง 25% ต่อเดือน จนกว่าจะคืนเงินต้นได้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ. ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม และอาจผิด พ.ร.บ. การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือ พ.ร.บ. ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการกระทำที่อาจเข้าข่าย พ.ร.บ. นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีการทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเงินที่ได้รับเป็นเงินร่วมลงทุน หรือเงินให้กู้ยืมเพื่อนำไปประกอบธุรกิจ โดยไม่ต้องรีบใช้คืนในทันที ทั้งที่ความจริงแล้วการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและมีโอกาสขาดทุน ไม่ใช่การบังคับทำสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบและเรียกผลประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว
ผู้เสียหายยังให้ข้อมูลอีกว่า ในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามที่กำหนด จะถูกประจานผ่านโซเชียลมีเดียว่าเป็น “มิจฉาชีพ” จนทำให้ไม่สามารถขายสินค้าออนไลน์ได้ และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างรุนแรง ที่ผ่านมาผู้เสียหายไม่กล้าดำเนินการใดๆ เพราะผู้กระทำอ้างตัวว่ารู้จักกับตำรวจระดับผู้กำกับ และกระแสในโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่เข้าข้าง CEO ดังกล่าว
อีกกรณีหนึ่งที่ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนคือ ถูก CEO รายนี้ชวนให้ลงทุนในหุ้นบริษัทหนึ่ง มูลค่าประมาณ 1.2 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 12% แต่ในสัญญากลับระบุให้ถือหุ้นในอัตรา 51% ซึ่งผู้เสียหายต้องจ่ายเงินจริงถึง 2.55 ล้านบาท
ผู้เสียหายทุกคนต่างยืนยันว่าไม่มีเจตนาไม่คืนเงิน แต่ต้องการความเป็นธรรมในเรื่องของสัญญาที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการทำธุรกิจ จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจขยายผลตรวจสอบว่าธุรกิจของ CEO รายนี้กระทำการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากพบว่ามีการให้จ่ายเงินตอบแทนเป็นเงินสดเท่านั้น และหากโอนเงินไปก็ถูกด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง
ที่น่าตกใจคือ ผู้เสียหายรายหนึ่งทนแรงกดดันจากการถูกบังคับจ่ายเงินปันผลไม่ไหว จนมีเหตุให้ต้องสงสัยว่าเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งผู้เสียหายต้องการให้เจ้าหน้าที่สอบสวนขยายผลในประเด็นนี้ว่ามีความเชื่อมโยงกับกรณีดังกล่าวหรือไม่




