สว.สำรอง ทวง ปชน.สอบคุณสมบัติ “นายกฯ อนุทิน” คดีฮั้ว สว. กังวลการแทรกแซงคดี หลังพบถูกสกัดด้วยมือมืด และพบเครือข่ายครอบงำรัฐสภา ด้าน “วิโรจน์” ตั้ง 4 ประเด็นติดตามตรวจสอบ จับตาว่าที่ รมว.ยุติธรรมใกล้ชิดปราสาทสายฟ้าหรือไม่
พรรคประชาชน วันนี้ (16 ก.ย.) กลุ่ม สว. สำรอง นำโดยนายธนวัฒน์ ศรีสุจ และคณะ เข้ายื่นหนังสือถึงนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผ่านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน โดยขอให้ติดตามตรวจสอบนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับ การขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นผู้กล่าวหาในคดีฮั้ว สว.
นายธนวัฒน์ กล่าวถึงความกังวลและแสดงความห่วงใยต่อคดี ฮั้ว สว. ด้วยกังวลเรื่องการแทรกแซงคดี อ้างอิงว่าปัจจุบันยังมีบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ข้อมูลข่าวว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ เพื่อไปสอบปากคำพยาน 1,200 ปาก แต่ถูกสกัดด้วยมือที่มองไม่เห็น และปัจจุบันในวันที่ 16 กันยายน พบว่าเจ้าหน้าที่เดินทางกลับมาหมดแล้ว
และยังอ้างว่าคดีฮั้ว สว. เป็นคดีความมั่นคง เหตุพบองค์ประกอบพิเศษที่ทำให้ไม่ใช่การทุจริตปกติ แต่กระทบต่อโครงสร้างรัฐและเสถียรภาพของประเทศ ยังพบว่ามีการจัดตั้งเครือข่ายผู้ควบคุมอำนาจนิติบัญญัติบริหาร ในทางที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายกระทำผิดมาตรา 113 และ 114 ประมวลกฎหมายอาญา ฐานกบฏล้มล้างการปกครองหรือไม่ และการไต่สวนของคณะกรรมการ ชุดที่ 26 ดำเนินการล่าช้า ซึ่งเรื่องอยู่ที่เลขาธิการ กกต.
“ยังพบว่าเป็นกระบวนการใหญ่มีเครือข่ายครอบงำรัฐสภา เป็นคดีที่กระทบความมั่นคงเพราะทำให้กลไกประชาธิปไตยถูกทำลาย ทำให้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจถูกครอบงำหรือไม่ วันนี้จึงต้องมาข้อหารือ ขอความเห็นจากพรรคประชาชนในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จึงขอความห่วงใยในเรื่องนี้และมีความกังวลใจในเรื่องนี้ มีความไม่สบายใจกังวลว่าคดีจะถูกเตะถ่วงหรือไม่หรือจะถูกแทรกแซงหรือไม่ แม้แต่ตอนนี้ กกต. ดึงคดี ดึงเวลา จนถึงวันนี้ ผ่านมาปีกว่าแล้วยังไม่มีความคืบหน้า” นายธนวัฒน์ กล่าว
ด้านนายวิโรจน์ กล่าวว่าพรรคประชาชนได้เริ่มติดตาม ว่ามีการแทรกแซงหรือมีความพยายามอย่างไรเข้าไปขัดขวางการพิจารณาคดี หรือกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับการโกงเลือก สว.ที่ผ่านมา หรือคดีฮั้ว สว. หรือไม่ คือ 1.จุดเริ่มต้นต้องติดตามการแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หรือเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด และดีเอสไอเป็นกรมที่อยู่ภายใต้กำกับ เพราะได้ย้ำในหลายเวทีว่าพรรคติดตามเรื่องนี้ใกล้ชิดหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่ในเครือข่ายใกล้ชิด กับปราสาทสายฟ้า หรือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งอยู่ในกระบวนการถูกกล่าวหาด้วย
“หากบอกไม่แทรกแซง คงไม่มีคนในสังคมเชื่อ ที่ได้ย้ำและพูดตลกร้ายว่าไม่ใช่แค่องค์พระมาพูด อมพระประทานมาพูดก็คงไม่มีใครเชื่อ จุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมสบายใจที่สุดคือการแต่งตั้งรัฐรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมที่มีความเหมาะสม และมีความเป็นกลาง และยืนยันว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซง หรือเข้าไปเกี่ยวดองหนองยุ่งในพยานหลักฐานที่อาจจะทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า 2.ในประเด็นที่ติดตามได้รับเรื่องร้องเรียนมาพอสมควร ว่ามีการกดดันไปที่ข้าราชการ แม้กระทั่งอธิบดีดีเอสไอมีข้อร้องเรียนว่า เริ่มถูกกดดัน ที่จะต้องมีการติดตามข้อเท็จจริงต่อไปว่ามีการกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือไม่ 3. การเข้าไปแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องพิจารณา และ 4. ต้องติดตามว่าการเข้าไปออกระเบียบเกี่ยวข้องกับเอกสารคำสั่งต่างๆในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็น 4 ประเด็นเป็นโจทย์สำคัญที่พรรคประชาชนมีทีมงานติดตามสอดส่องอย่างใกล้ชิด และยินดีทำงานกับกลุ่ม สว.สำรอง กับเครือข่ายต่างๆที่ให้ความสนใจพร้อมจะร่วมดำเนินการอย่าง ยืนยันหากมีหลักฐานชัดเจน และต้องนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะดำเนินการอย่างเต็มที่
“หากหลักฐานมีความชัดแจ้งนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร ถ้าหลักฐานจะแจ้งชัดเจนโยงไปถึงการฮั้ว โยงไปถึงพรรคภูมิใจไทยจริงตามข้อสันนิษฐาน เราไม่อาจไว้วางใจพรรคภูมิใจไทยให้เป็นรัฐบาลต่อไปได้” นายวิโรจน์ กล่าว

