วันที่ 17 ก.ย.68 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เดินหน้าจัดการปัญหาเนื้อหาความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางที่ถูกผลิตซ้ำในสื่อ โดยจัดประชุมร่วมกับองค์กรวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน โดยที่ประชุมเห็นพ้องต้องใช้ทั้ง กฎหมาย, การกำกับดูแลกันเอง, และการสร้างบรรทัดฐานทางสังคม ควบคู่กันไป พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบบรรณาธิการ และเปิดช่องให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องได้
ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในสื่อเป็นเรื่องที่ กสทช. ชุดนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่สื่อมักลดต้นทุนการผลิตและนำเนื้อหาจากออนไลน์มาใช้ ซึ่งบ่อยครั้งเนื้อหาเหล่านั้นมีความรุนแรง ทั้งถ้อยคำ ภาพ และการแสดงออกเชิงโครงสร้างที่สะท้อนความไม่เท่าเทียมทางสังคม นำไปสู่การเหยียดหยาม ตีตรา และสร้างความเกลียดชัง
เธอยังชี้ให้เห็นว่า แม้ในโทรทัศน์จะมีการระมัดระวังมากขึ้น แต่การนำเนื้อหาความรุนแรงจากออนไลน์มาผลิตซ้ำก็เหมือนเป็นการขยายวงความรุนแรงออกไป และอาจทำให้สังคมรู้สึกว่าการนำเสนอเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต จึงจำเป็นต้องยกระดับแนวทางการนำเสนอเนื้อหาของสื่อในระยะยาว
นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ อดีตที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ย้ำว่า ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตควรได้รับโอกาสให้อยู่ร่วมในสังคมเฉกเช่นผู้ป่วยโรคอื่นๆ การสร้างความรังเกียจและตีตรา (stigma) ส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ป่วยและครอบครัว หากเรื่องเหล่านี้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับการเมือง อาจนำไปสู่ Hate Speech หรือถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง ทำให้การเห็นต่างกลายเป็นการตัดสินว่าใครถูกใครผิด ซึ่งหากรุนแรงขึ้นอาจก่อให้เกิดความรุนแรงทางกายภาพและกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
นพ.ยงยุทธยังเสนอให้มีการสร้างมาตรฐานเชิงระบบ โดยมองว่ากฎหมายเป็นเพียงมาตรการขั้นต่ำสุด และควรส่งเสริมการกำกับดูแลภายในองค์กรสื่อ รวมถึงทำให้การไม่ใช้ Hate Speech กลายเป็นบรรทัดฐานของสังคม
ด้าน นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจาก สคส. กล่าวว่า แม้สื่อมวลชนจะได้รับการยกเว้นตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ก็มีเงื่อนไข เช่น ต้องมีกองบรรณาธิการและจริยธรรมวิชาชีพ ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวพิเศษ หากละเมิดก็มีโทษทางอาญา โดย สคส. พร้อมทำงานร่วมกับ กสทช. ในการรับเรื่องร้องเรียนและบล็อกข้อมูลที่ละเมิด
นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เห็นด้วยกับการสร้างบรรทัดฐานการกำกับดูแลขององค์กรวิชาชีพ แต่ยอมรับว่าระบบปัจจุบันยังเป็นแบบสมัครใจ ทำให้ไม่สามารถกำกับดูแลองค์กรสื่อที่ไม่ได้เป็นสมาชิกได้
ส่วน นายพีระวัฒน์ โชติธรรมโม นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ชี้ให้เห็นว่าระบบ กองบรรณาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบและกลั่นกรองเนื้อหา ได้ถูกลดทอนลงไปเนื่องจากการลดต้นทุนของสื่อ จึงเสนอให้ กสทช. กำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาตส่งแผนผังการทำงานของกองบรรณาธิการ เพื่อเป็นหลักประกันด้านคุณภาพเนื้อหา
นายสุปัน รักเชื้อ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เสนอให้มีการเผยแพร่ช่องทางร้องเรียนให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง เช่น การร้องเรียนไปยังสถานี, องค์กรวิชาชีพ, หรือ กสทช. เพื่อให้ประชาชนสามารถรักษาสิทธิของตนเองได้
ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง ปิดท้ายว่า กสทช. ได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติการรายงานข่าวเด็ก อาชญากรรม และเหตุการณ์ความรุนแรง เพื่อส่งเสริมกลไกการกำกับดูแลกันเองอย่างมีประสิทธิภาพ และจะมีการจัดรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มย่อยในวันอังคารที่ 16 กันยายน 2568 เพื่อให้แนวปฏิบัติดังกล่าวมีความครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับร่วมกันต่อไป







