
(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 33/2568) กสม. ตรวจสอบการขอตั้งโรงไฟฟ้าขยะ 7 แห่งในภาคตะวันออก ระบุมีการปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน แนะ สผ. ทบทวนให้โรงไฟฟ้าทุกขนาดต้องจัดทำ EIA – ชี้ โรงพยาบาลเอกชนรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์บางงันในชุมชนศิริสุข จ.นครศรีธรรมราช แนะหน่วยงานตรวจสอบแนวเขตที่ดินโดยประชาชนมีส่วนร่วม
วันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายภาณุพันธ์ สมสกุล ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 33/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 3 คำร้อง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เกี่ยวกับการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมรวม 7 แห่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ (1) พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี 3 แห่ง (2) พื้นที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 2 แห่ง และ (3) พื้นที่ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง 2 แห่ง โดยร้องเรียนในประเด็นสำคัญที่คล้ายคลึงกันว่า มีการปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการจัดรับฟังความเห็นประกอบการขออนุญาตตั้งโรงงาน นอกจากนี้ ผู้ร้องยังเห็นว่า โรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแต่ละแห่งซึ่งมีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ หลีกเลี่ยงการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งผู้ร้องยังมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคฯ จากบึงสาธารณประโยชน์โคกมะม่วง ซึ่งเป็นบึงที่ประชาชนใช้เพื่อการเกษตร จึงขอให้ตรวจสอบ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องทั้งสามคำร้องจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 ได้รับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการมีส่วนร่วมจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และมาตรา 58 ได้กำหนดให้ในกรณีที่รัฐจะอนุญาตให้มีการดำเนินการใดที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาอนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมรวม 7 แห่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ปรากฏว่า โรงงานทั้ง 7 แห่ง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก มีกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ต่อ 1 โครงการ จึงไม่เข้าข่ายที่จะต้องจัดทำรายงาน EIA ซึ่งกำหนดบังคับเฉพาะโรงไฟฟ้าที่พลังงานความร้อนที่มีกำลังการผลิตติดตั้ง ตั้งแต่ 10 เมกะวัตต์ขึ้นไป และแม้โรงงานในบางพื้นที่จะมีที่ตั้งติดกัน แต่ก็มีขอบเขตที่ตั้ง การจัดตั้งนิติบุคคล และการใช้ระบบสาธารณูปโภคที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน จึงไม่ถือเป็นโครงการเดียวกันที่จะนำกำลังการผลิตติดตั้งมาคำนวณรวมกันได้ ซึ่งไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงาน EIA ด้วย อย่างไรก็ดี โรงงานผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก ยังต้องจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานประมวลหลักการปฏิบัติ และรายงานผลการปฏิบัติตามประมวลหลักการปฏิบัติ สำหรับการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2565 (ระเบียบ กกพ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำรายงาน CoP) โดยต้องรับฟังความเห็นและทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียเพื่อประกอบการยื่นขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า
จากการตรวจสอบปรากฏว่า การขอตั้งโรงงาน สถานที่ตั้งของโครงการ มาตรการควบคุมมลพิษ และผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของโรงงานทั้ง 7 แห่ง เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด ในขั้นนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ยังไม่ได้เริ่มผลิตไฟฟ้า จึงยังไม่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ ส่วนกรณีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี 3 แห่ง ซึ่งมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่ชอบธรรมของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเนื่องจากทั้งโรงงาน 3 แห่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับบริษัทแห่งหนึ่งที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ อยู่ก่อนแล้วนั้น ไม่ถือว่ามีการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโรงงานทั้ง 3 แห่ง เป็นโครงการโรงไฟฟ้าที่ลงทุนก่อสร้างใหม่ ไม่ใช่โครงการในนามบริษัทที่ยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ ดังนั้น จึงมีคุณสมบัติเป็นผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าฯ
อย่างไรก็ดี ขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมรวม 7 แห่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก มีประเด็นที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สำคัญจากการปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย โดยปรากฏว่าในขั้นตอนการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประกอบการจัดทำรายงาน CoP โรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี และพื้นที่ตำบลปลวกแดง อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง มีกลุ่มชายสวมชุดดำปิดบังใบหน้าและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกีดกันไม่ให้กลุ่มผู้คัดค้านเข้าร่วมการประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นในเวที ส่วนโรงงานในพื้นที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นในวันที่ 28 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียส่วนใหญ่ซึ่งประกอบอาชีพในพื้นที่รอบโครงการเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลปีใหม่ และสถานที่เวทีรับฟังความเห็นอยู่ห่างจากพื้นที่ตั้งโครงการเกือบ 20 กิโลเมตร ส่งผลให้ประชาชนผู้อาจได้รับผลกระทบไม่สะดวกเดินทาง
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิทธิเชิงกระบวนการอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนไปสู่การคุ้มครองสิทธิเชิงเนื้อหา การกีดกันไม่ให้กลุ่มผู้ร้องและประชาชนที่เห็นต่างเข้าร่วมประชุมและจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็น รวมถึงมีพฤติการณ์ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมหวาดกลัวไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ถือได้ว่าการจัดรับฟังความคิดเห็นขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง อันส่งผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลและชุมชนที่จะได้รับข้อมูล คําชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานก่อนการดำเนินการใดที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชน ซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกติการะหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังโรงงานผู้ถูกร้องทั้ง 7 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
(1) ให้โรงงานผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะอุตสาหกรรมรวม 7 แห่ง ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกตามคำร้อง ตรวจวัดปริมาณสารมลพิษตามกำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นต่อปี และระบุไว้ในรายงานผลการปฏิบัติตามประมวลหลักการปฏิบัติ หรือ รายงาน CoP สำหรับการประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า
(2) ให้กรมควบคุมมลพิษเพิ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAH) และฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) เป็นสารมลพิษทางอากาศตามกำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง
(3) ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ทบทวนให้โรงไฟฟ้าพลังความร้อนทุกประเภท ทุกขนาด เป็นโครงการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA และทบทวนหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีกำลังการผลิตต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ตั้งแต่ 2 โครงการขึ้นไปซึ่งมีที่ตั้งโครงการอยู่ติดกันแต่ไม่ถือว่าเป็นโครงการเดียวกัน โดยให้คำนึงถึงการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในเครือเดียวกันเพิ่มด้วย
(4) ให้บริษัทเจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ จังหวัดปราจีนบุรี ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมกรณีการสูบน้ำจากบึงโคกมะม่วง ตามรายงาน EIA ของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย
และ (5) ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพร่วมกับกระทรวงพลังงาน ส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงงานผู้ถูกร้องทั้ง 7 แห่ง นำหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNGPs) มาใช้ในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) การจัดให้มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนพร้อมประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนรับรู้ และการกำหนดแนวทางที่เหมาะสมเพื่อลดและเยียวยาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ