วันศุกร์, กันยายน 26, 2025
หน้าแรกอาชญากรรมกสม. ชี้ โรงพยาบาลเอกชนรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์บางงันในชุมชนศิริสุข จ.นครศรีธรรมราช แนะหน่วยงานตรวจสอบแนวเขตที่ดินโดยประชาชนมีส่วนร่วม

Related Posts

กสม. ชี้ โรงพยาบาลเอกชนรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์บางงันในชุมชนศิริสุข จ.นครศรีธรรมราช แนะหน่วยงานตรวจสอบแนวเขตที่ดินโดยประชาชนมีส่วนร่วม

นายภาณุพันธ์ สมสกุล ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนมกราคม 2567 จากผู้ร้องห้ารายที่อาศัยอยู่ในชุมชนศิริสุข ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ระบุว่า ประชาชนในชุมชนได้รับผลกระทบจากการออกโฉนดที่ดินรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์บางงัน ซึ่งเดิมลำรางบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินพื้นที่ลุ่มต่ำรกร้างและปกคลุมไปด้วยป่ากกที่ไม่มีผู้ใดครอบครองเป็นเจ้าของ ประชาชนจึงเข้าจับจองโดยสร้างที่พักอาศัยอยู่ตามแนวลำรางตั้งแต่ปี 2525 จนชุมชนขยายตัวมากขึ้นกลายเป็นชุมชนศิริสุข ต่อมาปี 2537 มีการออกเลขที่บ้านให้ประชาชนบางส่วน และประชาชนได้ทยอยเข้าไปอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จากนั้นปี 2556 มีการขอตั้งชุมชนกับเทศบาลนครนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 2) มีการขอน้ำประปา ไฟฟ้า และทางสาธารณะ (ถนนหินคลุก) จนเมื่อปี 2563 จึงก่อตั้งชุมชนศิริสุขอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าเมื่อปี 2566 เจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้รังวัดแนวเขตโฉนดที่ดินของเอกชนแปลงที่ติดกับลำรางสาธารณประโยชน์ รวมทั้งปักหลักหมุดแสดงแนวเขตล้ำเข้าไปในทางสาธารณะของชุมชนและบริเวณหน้าบ้านเรือนของผู้ร้อง และเอกชนเจ้าของที่ดินได้สร้างอาคารพาณิชย์ บ้านจัดสรร และโรงพยาบาล รุกล้ำเข้าไปในลำรางสาธารณประโยชน์ ทำให้ชุมชนศิริสุขได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขัง ทางสัญจรคับแคบ จึงขอให้ตรวจสอบแนวเขตที่แท้จริงของลำรางและการออกโฉนดทับเขตลำรางสาธารณประโยชน์

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รับรองสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน โดยบุคคลและชุมชนมีสิทธิในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐพึงจัดให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม อันสอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี

จากการตรวจสอบเห็นว่า กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น ประเด็นแรก กรณีสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 1) รังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินสองแปลงของเอกชนที่รุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์ เป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า โฉนดที่ดินแปลงแรกผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้ยื่นขอรังวัดสอบเขตที่ดินเป็นการเฉพาะรายต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดฯ โดยช่างรังวัด ได้ทำการรังวัด และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ได้มอบหมายให้ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลท่าซัก เป็นผู้ระวังแนวเขตในส่วนที่ติดกับที่สาธารณประโยชน์ และปรากฏว่ามีการนำชี้และปักหลักหมุดแนวเขตที่ดินบริเวณกึ่งกลางของทางสาธารณะซึ่งอยู่ในเขตลำรางฯ และบางหมุดเลยเขตทางเข้ามาอยู่หน้าบ้านของประชาชนผู้ร้อง โดยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ได้ลงชื่อรับรองแนวเขตและไม่มีการคัดค้านการนำชี้แนวเขตของเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว

ส่วนโฉนดที่ดินแปลงที่สองบริษัทเอกชนเจ้าของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง (ผู้ถูกร้องที่ 4) ได้ซื้อไว้เพื่อก่อสร้างลานจอดรถเพิ่มเติม และได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดฯ โดยในวันรังวัดมีผู้แทนของเทศบาลนครนครศรีธรรมราชมาระวังแนวเขตด้วย ผลการรังวัดปรากฏว่า มีการนำชี้แนวเขตและปักหลักหมุดแนวเขตที่ดินเลยเข้ามาบนทางสาธารณะซึ่งอยู่ในแนวเขตลำรางฯ และมีหลักหมุดแนวเขตบางหลักเลยเขตทางสาธารณะมาปักอยู่บริเวณหน้าบ้านของประชาชนในชุมชนศิริสุข โดยผู้แทนของเทศบาลฯ ไม่ได้คัดค้านการรังวัด ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า สำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 1) กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนกรณีรังวัดสอบเขตโฉนดที่ดินสองแปลงของเอกชนรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงพื้นที่พิพาท ซึ่งเป็นลำรางสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนชุมชนศิริสุขได้ก่อสร้างบ้านเรือนคร่อมลำรางซึ่งมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน นายอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินดังกล่าวตามกฎหมาย เมื่อเอกชนนำชี้แนวเขต และช่างรังวัดปักหมุดแนวเขตล้ำเข้าไปบนทางสาธารณะของชุมชนศิริสุข และหลักหมุดแนวเขตบางส่วนเลยทางสาธารณะมาปักอยู่บริเวณหน้าบ้านของประชาชน แต่ตัวแทนของเทศบาลนครนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 2) และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 3) ซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ได้คัดค้าน และเมื่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบเรื่องกรณีมีการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์แล้ว ผู้ถูกร้องที่ 2 ก็ไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจนว่าขอบเขตของที่สาธารณประโยชน์อยู่บริเวณใด โดยอ้างเหตุว่าจะต้องแจ้งความดำเนินคดีบุกรุกกับประชาชนในพื้นที่ชุมชนศิริสุขก่อนนั้น เป็นเหตุผลที่ไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากการยื่นเรื่องตรวจสอบรังวัดแนวเขตที่สาธารณประโยชน์ จะต้องตรวจสอบให้ได้แนวเขตของลำรางฯ ที่แน่ชัดก่อน จากนั้น จึงสำรวจว่ามีบุคคลหรือสิ่งก่อสร้างใดรุกล้ำที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ และต้องสอบสวนถึงประวัติความเป็นมาของที่สาธารณประโยชน์ให้เป็นที่ยุติว่า เกิดขึ้นมาอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งการแจ้งความดำเนินคดีเป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่มีขอบเขตและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่สาธารณประโยชน์ที่แน่ชัดแล้ว

นอกจากนี้ การที่เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ให้เหตุผลข้างต้นยังเป็นการยอมรับว่าประชาชนผู้ร้องทั้งห้าสร้างบ้านเรือนทับที่สาธารณประโยชน์จริง และหากเอกชนจะก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ จนประชิดถึงหลักหมุดแนวเขตย่อมเป็นการรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์ และหากบริเวณดังกล่าวไม่ใช่ที่สาธารณประโยชน์ ผู้ถูกร้องที่ 2 ย่อมไม่สามารถสร้างหรือพัฒนาทางสาธารณประโยชน์ให้กับชุมชนศิริสุขขนานไปกับลำรางสาธารณประโยชน์ได้ ดังนั้นการที่เทศบาลนครนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 2) และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 3) ไม่ตรวจสอบและปล่อยให้เอกชนปักหมุดแนวเขตรุกล้ำเข้ามาถึงทางสาธารณประโยชน์ และบริเวณหน้าบ้านของผู้ร้อง จึงเป็นการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่สอง กรณีบริษัทเอกชนเจ้าของโรงพยาบาล (ผู้ถูกร้องที่ 4) ถมดินจากส่วนปลายของโฉนดแปลงหนึ่งลงในลำรางสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างถนนคอนกรีต และเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่ตรวจสอบ เป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เห็นว่า พื้นที่บริเวณที่บริษัทเอกชนถมดินเพื่อสร้างถนนคอนกรีต เป็นลำเหมืองสาธารณประโยชน์ การจะใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัด และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเมื่อประชาชนได้ร้องเรียนว่าเอกชนก่อสร้างถนนคอนกรีตรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์ แต่เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ผู้ถูกร้องที่ 2 กลับเพิกเฉย ไม่ตรวจสอบ รวมถึงการถมดินเพื่อสร้างถนนคอนกรีตของผู้ถูกร้องที่ 4 ยังทำให้ลำรางเสื่อมสภาพหรือแคบลงกว่าเดิม ส่งผลกระทบต่อการระบายน้ำของชุมชน จึงรับฟังได้ว่า เทศบาลนครนครศรีธรรมราช ผู้ถูกร้องที่ 2 ละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องที่ 4 กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 จึงมีข้อเสนอแนะให้นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 2) ยื่นคำขอต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์บางงัน และออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยให้นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 3) แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง ขอบเขต เนื้อที่ของที่สาธารณประโยชน์ และนำชี้แนวเขตที่สาธารณประโยชน์แปลงดังกล่าว ตลอดจนดำเนินการตรวจสอบการถมดินลงในลำรางสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างถนนคอนกรีตของบริษัทเอกชน (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยให้มีตัวแทนของประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย และให้ผู้ถูกร้องที่ 4 ดำเนินการตามผลการตรวจสอบของนายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยต้องจัดให้มีการรับเรื่องร้องเรียนจากชุมชนและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะผลกระทบจากการก่อสร้างกำแพงสูงและถมดินเพื่อสร้างถนนคอนกรีตในบริเวณลำรางสาธารณประโยชน์ หรือการก่อสร้างอื่นที่กีดขวางทางระบายน้ำ อันเป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมขังในชุมชน

ทั้งนี้ หากตรวจสอบแนวเขตที่สาธารณประโยชน์บางงันแล้วพบว่า มีการออกโฉนดที่ดินหรือเอกชนก่อสร้างถนนรุกล้ำที่สาธารณประโยชน์ ให้สำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 1) ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ และเมื่อมีการสอบสวนการบุกรุกที่หรือทางสาธารณประโยชน์และการรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์แล้วเสร็จ หากสภาพการใช้ประโยชน์ในที่สาธารณประโยชน์เปลี่ยนแปลงไปหรือมีประชาชนเข้าอาศัยอยู่เต็มพื้นที่แล้ว ให้เทศบาลนครนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 2) และอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช (ผู้ถูกร้องที่ 3) สำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนในที่สาธารณประโยชน์ โดยจัดทำเป็นโครงการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์ที่มีการบุกรุกเพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาชนบท เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราช พิจารณาเข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามแนวทางของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และประสานสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและประชาสังคมอย่างยั่งยืน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts