เมื่อเวลา 09.00 น . วันที่ 26 ก.ย.68 ที่ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. นายชาญวุฒิ เมฆรักษาวนิช ตัวแทนนางน้อย เมฆรักษาวนิช ทายาทของนางชูจิตต์ วงศาธิปัตย์ เจ้าของมรดกจำนวนหลายร้อยล้านบาท พร้อมนายภูวรินทร์ ทองคำเข้าพบ นายธนพล คงเจี้ยง นายกสภาทนายความฯ เพื่อยื่นหนังสือร้องกรณีถูกกลุ่มทนายซ่องโจร ร่วมกับตบตาศาล ขอให้สภาทนายความฯ สอบสวนและเอาผิดทางมรรยาททนายความต่อกลุ่มบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘กลุ่มทนายซ่องโจร’ ซึ่งร่วมกันปลอมแปลงเอกสารทางกฎหมายเพื่อยึดทรัพย์มรดกมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 57 ล้านบาท พร้อมทั้งเรียกร้องให้สภาทนายความฯ ปรับปรุงการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอใบอนุญาตทนายความให้เข้มงวดมากขึ้น
นายชาญวุฒิ ระบุว่า กลุ่มทนายความดังกล่าวมีพฤติการณ์ “สมคบคิดแบ่งหน้าที่เป็นโจทก์ เป็นทนายโจทก์ และเป็นทนายจำเลย” เพื่อหลอกใช้ศาลและกรมบังคับคดี ยึดเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยใช้วิธีปลอมแปลงสัญญาเงินกู้ ยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดอุบลราชธานีถึง 3 คดี จากนั้นได้ปลอมแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความทั้งฉบับ เพื่อนำไปสู่การวางแผนให้จำเลยผิดสัญญายอม และนำไปสู่การยึดที่ดิน 3 แปลง และเงินฝากธนาคาร 2 บัญชี สร้างความเสียหายเบื้องต้นกว่า 57 ล้านบาท
“การกระทำอุกอาจนี้เป็นเรื่องสะเทือนขวัญต่อสังคม เพราะเป็นการฉ้อโกงโดยใช้เทคนิคทางกฎหมายอย่างแยบยล สร้างความเสียหายร้ายแรง มิหนำซ้ำยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อระบบยุติธรรมของประเทศ”
นายชาญวุฒิ กล่าว พร้อมเรียกร้องให้คณะกรรมการมรรยาทแห่งสภาทนายความฯ เร่งไต่สวนกลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีพฤติการณ์เสมือนซ่องโจร แต่ใช้สำนักงานกฎหมายเป็นหน้าฉาก โดยมีเป้าหมายประทุษร้ายทรัพย์กับผู้สูงอายุ และขอให้พิจารณา พักใบอนุญาต ของกลุ่มทนายความเหล่านี้ทันที หากพบว่ามีมูลความผิด
นอกจากนี้ นายชาญวุฒิ ยังได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ทนายความคนหนึ่งในขบวนการนี้ได้รับใบอนุญาตทนายความในเดือนกรกฎาคม 2558 ทั้งที่ถูกศาลล้มละลายกลางพิพากษาให้เป็น บุคคลล้มละลาย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ซึ่งถือเป็นการจงใจปกปิดการขาดคุณสมบัติในการเป็นทนายความตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2527 และประกอบอาชีพโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาเป็นเวลานานถึง 10 ปี
พร้อมกันนี้ นายชาญวุฒิได้เสนอให้สภาทนายความฯ ปรับปรุงการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นขอใบอนุญาตให้เป็น เชิงรุก โดยตรวจสอบสถานะบุคคลล้มละลายผ่านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาทีต่อราย แต่เป็นประโยชน์มหาศาลต่อสังคม นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ประชาชนสามารถ ตรวจสอบสถานะการเป็นทนายความ ได้โดยสะดวกทางออนไลน์ เพื่อป้องกันมิจฉาชีพแอบอ้าง
ด้าน นายธนพล คงเจี้ยง นายกสภาทนายความ ฯ เปิดเผยว่า จะรับเรื่องไว้ดำเนินการตรวจสอบทันที โดยยืนยันว่า หากพบว่ามีการกระทำผิดมรรยาททนายความจริง จะไม่เอาไว้แน่ ซึ่งบทลงโทษทางมรรยาทมี 3 ขั้นคือ ภาคทัณฑ์, ห้ามว่าความ 3 ปี, และโทษที่ร้ายแรงที่สุดคือ ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
หลังยื่นหนังสือที่สภาทนายความฯ นายชาญวุฒิได้เดินทางต่อไปยัง กองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อส่งมอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลายชิ้นที่เชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงขบวนการทนายซ่องโจรไปสู่ ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ได้อย่างแน่นอน
ข้อมูลจากกองบัญชาการสอบสวนกลางระบุว่า มองคดีนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นคดีที่อุกอาจสะเทือนวงการยุติธรรม เนื่องจากแม้กระทั่งผู้จัดการมรดกซึ่งเป็นทายาทที่ได้รับผลกระทบ ก็เป็นถึงศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมรดก ทางการจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ และจะเร่งดำเนินการเพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนทั่วไป

















