วันอาทิตย์, กันยายน 28, 2025

ทส.หนุน 96 ‘ทัพหน้า’ สู้โลกร้อน

ไม่ใช่แค่งานมอบรางวัล แต่คือการเปิดแผนที่ชี้ชะตาประเทศไทยในสมรภูมิการค้าโลกครั้งใหม่ เมื่อ 96 องค์กร ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ถึงชุมชนเล็กๆ ถูกยกให้เป็น ‘ทัพหน้า’ ในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ… แต่เบื้องหลังกลไกชื่อย่อ T-VER และ LESS ที่หลายคนไม่คุ้นหู แท้จริงแล้วคืออะไร? และเหตุใด ‘คาร์บอนเครดิต’ ที่พวกเขาผลิตได้ จึงอาจเป็น ‘สกุลเงินใหม่’ ที่กำหนดความอยู่รอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้นี้

ค่ำคืนของวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ในห้องบอลรูมใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ ในงาน “รวมพลังลดโลกร้อน สู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติหน่วยงาน องค์กร ชุมชน และบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายใต้โครงการ Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) และ Low Emission Support Scheme (LESS) เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปี ของโครงการ T-VER และครบรอบ 10 ปี ของโครงการ LESS โดยมี นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้การต้อนรับ และมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมในพิธี ณ ห้องอัศวินแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น

งานดังกล่าว อาจดูเหมือนเป็นเพียงพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติธรรมดา แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงพลังงาน สิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ภาพของ 96 ตัวแทนจากองค์กรทั่วประเทศที่ขึ้นรับโล่เกียรติคุณจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่า

พวกเขาไม่ใช่แค่องค์กรดีเด่น แต่คือ “ผู้เล่น” กลุ่มแรกๆ ในสมรภูมิใหม่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นั่นคือ “สมรภูมิคาร์บอน”

นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังโล่รางวัล 96 ใบ ที่เชื่อมโยงกับอนาคตของทุกคน

ทส.: แม่ทัพใหญ่ ผู้วางหมากเกม ‘โลกร้อน’

ก่อนจะเจาะลึกถึงกลไก T-VER และ LESS สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ โครงการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นผลผลิตจากการวางยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาวโดยมี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็น “แม่ทัพใหญ่”

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือผู้รับผิดชอบหลักในการแปลงคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยให้ไว้กับประชาคมโลก—โดยเฉพาะเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065—ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้จริง กระทรวงฯ ทำหน้าที่เป็นทั้ง ‘สถาปนิก’ ผู้ออกแบบโครงสร้างและนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ และเป็น ‘ผู้กำกับดูแล’ ให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามทิศทางที่ถูกต้อง

โดยมี องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของ ทส. ทำหน้าที่เป็น “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ” ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการสร้างเครื่องมือและตลาดคาร์บอนให้เกิดขึ้นจริง ดังนั้น บทบาทของ ทส. จึงไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์มอบรางวัล แต่คือการสร้าง ‘ระบบนิเวศ’ ทั้งหมด ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายระดับประเทศ การออกกฎระเบียบ ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจผ่านโครงการอย่าง T-VER และ LESS เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือด้วยกฎเกณฑ์ในอนาคต ต้องเดินหน้าสู่เป้าหมายเดียวกัน

T-VER / LESS: ไม่ใช่แค่ชื่อย่อ แต่คือ ‘ใบอนุญาต’ สู่โลกอนาคต

หลายคนอาจขมวดคิ้วกับคำว่า T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) และ LESS (Low Emission Support Scheme) แต่หากจะอธิบายให้เห็นภาพที่สุด T-VER คือกลไกที่เปลี่ยน “ความดี” ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้กลายเป็น “ทรัพย์สิน” ที่จับต้องและซื้อขายได้ เรียกว่า คาร์บอนเครดิต’

ลองจินตนาการถึงโรงงานน้ำตาลที่ลงทุนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนกากอ้อยเป็นไฟฟ้าพลังงานชีวมวล, บริษัทอสังหาฯ ที่ออกแบบอาคารเขียวประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนการทำนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน… ทุกกิจกรรมเหล่านี้ จากเดิมที่เป็นเพียงต้นทุนและภาพลักษณ์ ตอนนี้สามารถนำมาคำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ และ “ขาย” ให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตนเอง

T-VER จึงเป็นเหมือน “ตลาดหลักทรัพย์แห่งความดี” ที่สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ภาคธุรกิจหันมาลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดอย่างจริงจัง

ขณะที่ LESS คือกลไกที่เปิดประตูให้ “คนตัวเล็ก” ได้เข้ามามีส่วนร่วม ชุมชนที่ช่วยกันดูแลผืนป่า, โรงเรียนที่ทำโครงการคัดแยกขยะ, อบต. ที่จัดการน้ำเสียอย่างถูกวิธี แม้ปริมาณคาร์บอนที่ลดได้จะไม่มากพอจะเข้าตลาด T-VER แต่ อบก. จะมอบใบประกาศเกียรติคุณให้ เป็นการสร้างฐานและปลุกจิตสำนึกให้การลดโลกร้อนกลายเป็น DNA ของสังคมไทยตั้งแต่ระดับรากหญ้า

เจาะลึก 96 องค์กร: พวกเขาไม่ใช่แค่ ‘คนดี’ แต่คือ ‘นักยุทธศาสตร์’

การที่ 96 องค์กร ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน ได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเกินกว่าแค่การทำ CSR (ความรับผิดชอบต่อสังคม)

ในวันที่โลกกำลังเดินหน้าสู่มาตรการกำแพงภาษีคาร์บอน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก การส่งออกสินค้าที่มาจากกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูง จะต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาลจนอาจแข่งขันไม่ได้ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ของผลิตภัณฑ์กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่สำคัญไม่แพ้วัตถุดิบหรือค่าแรง

“ภูมิคุ้มกัน” ให้กับธุรกิจของตัวเอง และในภาพรวมคือการรักษาขีดความสามารถในการส่งออกของประเทศไทยไว้

  • กลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรม: กำลังเปลี่ยนผ่านจากผู้ร้ายในอดีต มาสู่การเป็นฮีโร่ ด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร

  • กลุ่มป่าไม้และการเกษตร: กำลังเปลี่ยนต้นไม้ทุกต้นในสนามหญ้า ป่าชุมชน หรือสวนปาล์ม ให้กลายเป็น “เครื่องจักรดูดซับคาร์บอน” ที่สร้างรายได้กลับคืนมา

  • กลุ่มจัดการของเสียและชุมชน: กำลังพิสูจน์ว่า แม้แต่ “ขยะ” ที่ทุกคนเบือนหน้าหนี ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานและรายได้ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นจริงได้ในระดับท้องถิ่น

ก้าวต่อไป: จาก 96 สู่ ‘ล้าน’ คือความท้าทายที่แท้จริง

ดร.ชญานันท์ กล่าวว่า “โครงการ T-VER และ LESS ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง และพลังความร่วมมือที่ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”

แม้พิธีมอบรางวัลจะเป็นหมุดหมายที่น่าชื่นชม แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางที่ยังอีกยาวไกลสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ: เราจะขยายผลความสำเร็จจาก 96 องค์กรนี้ให้กลายเป็นมาตรฐานของทั้งประเทศได้อย่างไร? ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจจะเติบโตและมีเสถียรภาพพอที่จะดึงดูดการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน? และภาครัฐภายใต้การนำของ ทส. จะมีมาตรการสนับสนุน “คนตัวเล็ก” ในโครงการ LESS ให้สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาสู่ตลาด T-VER ได้อย่างไร?

โล่รางวัลทั้ง 96 ใบที่มอบให้ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่เครื่องหมายแห่งความสำเร็จ แต่เป็นเหมือน “คบเพลิง” ที่ถูกจุดขึ้นเพื่อส่งต่อให้กับองค์กรอื่นๆ อีกนับหมื่นนับแสนทั่วประเทศได้รับรู้ว่า การต่อสู้กับภาวะโลกร้อนไม่ใช่ภาระ แต่คือ “โอกาส” ครั้งสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และการอยู่รอดของประเทศไทยบนเวทีโลกยุคต่อไป…

นี่คือการแข่งขันที่ไม่มีใครสามารถเป็นผู้แพ้ได้

#สืบจากข่าว รายงาน

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

กลุ่ม ปตท. มุ่งสร้าง Synergy ใช้สินทรัพย์และเงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

https://youtu.be/w5HTT6my350 เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ตามที่ กลุ่ม ปตท. ได้ดำเนินกลยุทธ์ Asset Monetization (A1) เพื่อบริหารสินทรัพย์ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีแผนปรับโครงสร้างธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ ปตท. ได้มอบหมายให้ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship และจะดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ที่ PTT Tank ถือหุ้นร้อยละ 100 เพื่อเข้าทำธุรกรรมประกอบด้วย ธุรกรรมซื้อทรัพย์สินและให้เช่ากลับ...

ก.ทรัพย์ฯ ปลดล็อคแผ่นดิน 12.5 ล้านไร่

“…ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมหาศาลต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของคำว่า "ผู้บุกรุก" พวกเขาถูกตราหน้าว่าทำผิดกฎหมาย เพียงเพราะความขัดสนและทางเลือกที่จำกัดในการหาเลี้ยงชีพ ณ วันนี้ ผืนป่าสงวนแห่งชาติรวมกว่า 12.5 ล้านไร่ กำลังถูกรัฐบาลใช้เป็นเดิมพันสุดท้ายในการแก้ไขความขัดแย้งที่ฝังรากลึก ด้วยมติคณะรัฐมนตรีปี 2561 โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดพร้อมเป็นแม่งานขับเคลื่อน เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “ผิดกฎหมาย” ให้เป็น “ถูกกฎหมาย” และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนทั้งไทยและเทศเข้ามาครอบครองพื้นที่เหล่านี้ โดยใช้กลไกการห้ามซื้อขายตลอดไป นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์การจัดการที่ดินของชาติ…” https://youtu.be/B-UTvvC2z4w "คนเราไม่มีเงินอยู่ได้ ถ้าเรามีที่ เราสามารถใช้ที่นั้นทำมาหากินได้ ประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้… อยากให้ย้อนไปนึกถึงตอนที่เกิดโควิด หรือว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ คนที่อยู่ในเมืองทุกคน ลูกหลานกลับไปสู่บ้านหมด" จุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดเกิดขึ้นในปี 2561 เมื่อมติ ครม. 26 พ.ย. 61 ได้ถือกำเนิดขึ้น เจตนารมณ์หลักคือการแก้ไขปัญหาที่ทำกินและที่อยู่อาศัยในพื้นที่ของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่กรมป่าไม้ รัฐต้องการ...

ปฏิรูป-เปิดกว้าง “เพื่อประชาชน”“โดย” พรรคคอมมิวนิสต์จีน“คือ” รหัสลับในมือจีน

“…..เมื่อเราพิจารณาดูทิศทางการบริหารประเทศของรัฐบาลประเทศสำคัญๆอื่นๆของโลก ก็ไม่ปรากฏว่ามีประเทศใดได้ดำเนินนโยบาย"ปฏิรูป-เปิดกว้าง" ได้เช่นเดียวกับจีน ส่วนใหญ่แล้วจะติดอยู่ในกับดักของการแสวงประโยชน์ส่วนตน การแสวงประโยชน์อย่างไม่รู้จบของกลุ่มทุน การผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จของกลุ่มการเมืองอิทธิพลในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น ขณะที่จีนโดยคณะผู้นำที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน มุ่งถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยังผลให้การพัฒนาของพลังการผลิตตามกระบวนการ" ปฏิรูป-เปิดกว้าง" ดำเนินมาได้อย่างต่อเนื่อง และอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนทั้งประเทศได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในบริบทเช่นที่กำลังเป็นอยู่นี้จีนย่อมจะพัฒนาก้าวหน้าได้เร็วกว่า มากกว่า แน่นอนกว่า ประเทศอื่นๆที่ส่วนใหญ่แล้วกำลังติดหนืดอยู่กับปัญหาร้อยแปด จนจับต้นชนปลายไม่ถูก สร้างความอึดอัดให้แก่ประชาชนมากขึ้นทุกที กระทั่งถึงขั้นต้องก่อการประท้วงจนว่นวายไปทั่วจึงไม่แปลกที่ จีนจะเป็นผู้ยืนอยู่หัวแถว ใช้การ"ปฏิรูป-เปิดกว้าง" กรุยทางไปสู่อนาคตได้ยิ่งกว่าประเทศอื่นใด และในที่สุดแล้วประเทศต่างๆก็จะรับแนวทางการปฏิบัติที่เปรียบเหมือน"รหัสลับ" แห่งความสำเร็จนี้ ไปปรับใช้กับตนเอง เพื่อก้าวไปสู่อนาคตร่วมกัน…” https://youtu.be/uL0y50CQ6SM รหัสลับในมือจีน 中国手中的密码 เป็นที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า การปฏิรูปและเปิดกว้าง หรือ "ก่ายเก๋อ-ไคฟ่าง" (改革,开放)ในภาษาจีน ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปีคศ.1978 คือมาตรการหลักในการสร้างเงื่อนไขให้แก่การพัฒนาพลังการผลิตคุณภาพใหม่ในแต่ละห้วงของการขับเคลื่อนประเทศจีน ทำให้ประเทศจีนพลิกโฉมตนเองจากประเทศล้าหลังมาเป็นประเทศก้าวหน้าชนิดลัดสั้นอย่างยิ่ง จนเป็นที่อัศจรรย์ใจไปทั่วโลก และเมื่อชาวโลกมองต่อไปอีกสู่อนาคตยาวไกล ก็จะยิ่งอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้นหากเมื่อพบว่า ด้วยการส่งเสริมอย่างจริงจังด้วยปัญญาตื่นรู้ที่เกิดขึ้นชัดเจนยิ่งขึ้นในหมู่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.