วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 13, 2025

ทส.หนุน 96 ‘ทัพหน้า’ สู้โลกร้อน

ไม่ใช่แค่งานมอบรางวัล แต่คือการเปิดแผนที่ชี้ชะตาประเทศไทยในสมรภูมิการค้าโลกครั้งใหม่ เมื่อ 96 องค์กร ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ถึงชุมชนเล็กๆ ถูกยกให้เป็น ‘ทัพหน้า’ ในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ… แต่เบื้องหลังกลไกชื่อย่อ T-VER และ LESS ที่หลายคนไม่คุ้นหู แท้จริงแล้วคืออะไร? และเหตุใด ‘คาร์บอนเครดิต’ ที่พวกเขาผลิตได้ จึงอาจเป็น ‘สกุลเงินใหม่’ ที่กำหนดความอยู่รอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้นี้

ค่ำคืนของวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ในห้องบอลรูมใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ ในงาน “รวมพลังลดโลกร้อน สู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติหน่วยงาน องค์กร ชุมชน และบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายใต้โครงการ Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) และ Low Emission Support Scheme (LESS) เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปี ของโครงการ T-VER และครบรอบ 10 ปี ของโครงการ LESS โดยมี นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้การต้อนรับ และมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมในพิธี ณ ห้องอัศวินแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น

งานดังกล่าว อาจดูเหมือนเป็นเพียงพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติธรรมดา แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงพลังงาน สิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ภาพของ 96 ตัวแทนจากองค์กรทั่วประเทศที่ขึ้นรับโล่เกียรติคุณจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่า

พวกเขาไม่ใช่แค่องค์กรดีเด่น แต่คือ “ผู้เล่น” กลุ่มแรกๆ ในสมรภูมิใหม่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นั่นคือ “สมรภูมิคาร์บอน”

นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังโล่รางวัล 96 ใบ ที่เชื่อมโยงกับอนาคตของทุกคน

ทส.: แม่ทัพใหญ่ ผู้วางหมากเกม ‘โลกร้อน’

ก่อนจะเจาะลึกถึงกลไก T-VER และ LESS สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ โครงการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นผลผลิตจากการวางยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาวโดยมี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็น “แม่ทัพใหญ่”

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือผู้รับผิดชอบหลักในการแปลงคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยให้ไว้กับประชาคมโลก—โดยเฉพาะเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065—ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้จริง กระทรวงฯ ทำหน้าที่เป็นทั้ง ‘สถาปนิก’ ผู้ออกแบบโครงสร้างและนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ และเป็น ‘ผู้กำกับดูแล’ ให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามทิศทางที่ถูกต้อง

โดยมี องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของ ทส. ทำหน้าที่เป็น “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ” ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการสร้างเครื่องมือและตลาดคาร์บอนให้เกิดขึ้นจริง ดังนั้น บทบาทของ ทส. จึงไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์มอบรางวัล แต่คือการสร้าง ‘ระบบนิเวศ’ ทั้งหมด ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายระดับประเทศ การออกกฎระเบียบ ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจผ่านโครงการอย่าง T-VER และ LESS เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือด้วยกฎเกณฑ์ในอนาคต ต้องเดินหน้าสู่เป้าหมายเดียวกัน

T-VER / LESS: ไม่ใช่แค่ชื่อย่อ แต่คือ ‘ใบอนุญาต’ สู่โลกอนาคต

หลายคนอาจขมวดคิ้วกับคำว่า T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) และ LESS (Low Emission Support Scheme) แต่หากจะอธิบายให้เห็นภาพที่สุด T-VER คือกลไกที่เปลี่ยน “ความดี” ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้กลายเป็น “ทรัพย์สิน” ที่จับต้องและซื้อขายได้ เรียกว่า คาร์บอนเครดิต’

ลองจินตนาการถึงโรงงานน้ำตาลที่ลงทุนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนกากอ้อยเป็นไฟฟ้าพลังงานชีวมวล, บริษัทอสังหาฯ ที่ออกแบบอาคารเขียวประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนการทำนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน… ทุกกิจกรรมเหล่านี้ จากเดิมที่เป็นเพียงต้นทุนและภาพลักษณ์ ตอนนี้สามารถนำมาคำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ และ “ขาย” ให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตนเอง

T-VER จึงเป็นเหมือน “ตลาดหลักทรัพย์แห่งความดี” ที่สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ภาคธุรกิจหันมาลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดอย่างจริงจัง

ขณะที่ LESS คือกลไกที่เปิดประตูให้ “คนตัวเล็ก” ได้เข้ามามีส่วนร่วม ชุมชนที่ช่วยกันดูแลผืนป่า, โรงเรียนที่ทำโครงการคัดแยกขยะ, อบต. ที่จัดการน้ำเสียอย่างถูกวิธี แม้ปริมาณคาร์บอนที่ลดได้จะไม่มากพอจะเข้าตลาด T-VER แต่ อบก. จะมอบใบประกาศเกียรติคุณให้ เป็นการสร้างฐานและปลุกจิตสำนึกให้การลดโลกร้อนกลายเป็น DNA ของสังคมไทยตั้งแต่ระดับรากหญ้า

เจาะลึก 96 องค์กร: พวกเขาไม่ใช่แค่ ‘คนดี’ แต่คือ ‘นักยุทธศาสตร์’

การที่ 96 องค์กร ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน ได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเกินกว่าแค่การทำ CSR (ความรับผิดชอบต่อสังคม)

ในวันที่โลกกำลังเดินหน้าสู่มาตรการกำแพงภาษีคาร์บอน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก การส่งออกสินค้าที่มาจากกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูง จะต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาลจนอาจแข่งขันไม่ได้ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ของผลิตภัณฑ์กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่สำคัญไม่แพ้วัตถุดิบหรือค่าแรง

“ภูมิคุ้มกัน” ให้กับธุรกิจของตัวเอง และในภาพรวมคือการรักษาขีดความสามารถในการส่งออกของประเทศไทยไว้

  • กลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรม: กำลังเปลี่ยนผ่านจากผู้ร้ายในอดีต มาสู่การเป็นฮีโร่ ด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร

  • กลุ่มป่าไม้และการเกษตร: กำลังเปลี่ยนต้นไม้ทุกต้นในสนามหญ้า ป่าชุมชน หรือสวนปาล์ม ให้กลายเป็น “เครื่องจักรดูดซับคาร์บอน” ที่สร้างรายได้กลับคืนมา

  • กลุ่มจัดการของเสียและชุมชน: กำลังพิสูจน์ว่า แม้แต่ “ขยะ” ที่ทุกคนเบือนหน้าหนี ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานและรายได้ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นจริงได้ในระดับท้องถิ่น

ก้าวต่อไป: จาก 96 สู่ ‘ล้าน’ คือความท้าทายที่แท้จริง

ดร.ชญานันท์ กล่าวว่า “โครงการ T-VER และ LESS ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง และพลังความร่วมมือที่ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”

แม้พิธีมอบรางวัลจะเป็นหมุดหมายที่น่าชื่นชม แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางที่ยังอีกยาวไกลสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065

คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ: เราจะขยายผลความสำเร็จจาก 96 องค์กรนี้ให้กลายเป็นมาตรฐานของทั้งประเทศได้อย่างไร? ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจจะเติบโตและมีเสถียรภาพพอที่จะดึงดูดการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน? และภาครัฐภายใต้การนำของ ทส. จะมีมาตรการสนับสนุน “คนตัวเล็ก” ในโครงการ LESS ให้สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาสู่ตลาด T-VER ได้อย่างไร?

โล่รางวัลทั้ง 96 ใบที่มอบให้ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่เครื่องหมายแห่งความสำเร็จ แต่เป็นเหมือน “คบเพลิง” ที่ถูกจุดขึ้นเพื่อส่งต่อให้กับองค์กรอื่นๆ อีกนับหมื่นนับแสนทั่วประเทศได้รับรู้ว่า การต่อสู้กับภาวะโลกร้อนไม่ใช่ภาระ แต่คือ “โอกาส” ครั้งสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และการอยู่รอดของประเทศไทยบนเวทีโลกยุคต่อไป…

นี่คือการแข่งขันที่ไม่มีใครสามารถเป็นผู้แพ้ได้

#สืบจากข่าว รายงาน

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

หิ้วปีกส่งจีน! สิ้นลาย “เสอ จื้อเจียง” เจ้าพ่อเว็บฉ้อโกง 2.77 ล้านล้าน!

https://youtu.be/BcZZv-X6Juw “...สิ้นลาย “เจ้าพ่อแสนล้าน”! วินาทีที่ “เสอ จื้อเจียง” เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเคเค (KK Park) ถูกตำรวจไทยคุมตัวขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ คือจุดจบของอาณาจักรอาชญากรรมมูลค่ากว่า 2.77 ล้านล้านหยวน (12.63 ล้านล้านบาท) ที่สร้างอยู่บนคราบน้ำตาเหยื่อนับแสนคน นี่คือการปิดฉากการไล่ล่าข้ามชาติที่ยาวนานกว่า 3 ปี ของอดีต “เด็กธรรมดา” จากครอบครัวเกษตรกร ที่ใช้เวลา 20 ปี ไต่เต้าสู่บัลลังก์ “ราชันแก๊งฉ้อโกง” ผู้อยู่เบื้องหลังขุมนรกบนดิน ทั้งเว็บพนัน การค้ามนุษย์ และแม้กระทั่งการค้าอวัยวะ “สืบจากข่าว” ชำแหละเส้นทางจอมบงการผู้นี้ ตั้งแต่ก้าวแรกในโลกมืด สู่การสร้างอัตลักษณ์จอมปลอมเป็น “นักบุญ” ตบตาชาวโลก ก่อนทุกอย่างจะพังทลายลงด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศที่ไร้ซึ่งทางหนี!...” เสอ จื้อเจียง เจ้าพ่อเว็ปฉ้อโกง...

‘สินบนแปรรูป’ ส่วยมาตรฐานโรงพัก! วิรุตม์ ตอกหน้า ‘ผู้นำสีกากี’ “ชินชากับอาชญากรรม”?

https://youtu.be/JKl29XRFpek “...สะเทือนปทุมวัน! หลัง “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ลั่นไกใส่รังเก่าตัวเองว่า “ตำรวจคือองค์กรอาชญากรรมใหญ่สุด” ล่าสุด พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตตำรวจมือปราบ ออกมาขยี้ซ้ำ ยืนยันคำพูดนี้คือ “ความจริง” ที่อาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะอาจเป็น “แก๊งอาชญากรที่ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมตั้งคำถามเจ็บแสบถึง “ผู้นำสูงสุด” และ “ผบ.ตร. กิตติรัตน์” ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือกลายเป็นส่วนหนึ่งของความชินชาที่กัดกินประเทศนี้ไปแล้ว?...” "ตำรวจไทยในวันนี้คือองค์กรอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ" วาทะเดือดนี้จากปากของ “รองโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วทั้งปฐพี “สีกากี” แต่ยังจุดชนวนให้ 4 องค์กรตำรวจ (สมาคมตำรวจ, สมาพันธ์ตำรวจ, ชมรมอาวุโส และองค์กรข้าราชการตำรวจ) ออกมาเคลื่อนไหวตั้งท่าเตรียมฟ้องร้อง "รองโจ๊ก" โทษฐานทำให้องค์กรเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ในมุมมองของ...

ทั้งโลกรู้เท่ากัน “ด้วยสื่อสารล้ำยุค”จะเรียนรู้เลือกผู้นำ “ที่ดี” เหมือนกัน“คือ” ทางเลือกร่วมกันของชาวโลก

“….สังคมโลกประกอบด้วยประชากรร่วม 8000 ล้านคน จาก 200 ประเทศ เนื่องด้วยความก้าวหน้าของการสื่อสารและเทคโนโลยี่ล้ำยุควันนี้ ทำให้ความแตกต่างค่อยๆหายไป ชาวโลกโดยรวมได้รับรู้ในเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชาวโลกมองเห็นปัญหาไปในทำนองเดียวกัน เกิดความต้องการไปในทำนองเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น แนวโน้มที่การเลือกคณะผู้บริหารประเทศที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชาชนเป็นตัวตั้ง จะกลายเป็นการเลือกสูงสุดร่วมกันของชาวโลก จึงเป็นไปได้สูงมาก นั่นคือ ประเทศที่มีคณะผู้บริหารที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ย่อมจะพัฒนาไปได้ดีกว่า เร็วกว่า อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ตัดปัญหาการทุจริตโกงกินไปได้โดยพื้นฐาน อีกทั้งหากโชคดีได้คนดีมีฝีมือฉกาจขึ้นทำหน้าที่ ก็จะเพิ่มพูนโอกาสแห่งความสำเร็จได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ต้องดูอื่นไกล ประเทศจีนสามารถพัฒนาจนเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ในอัตราที่เร็วยิ่งกว่าประเทศอื่นใด ก็ด้วยแรงสนับสนุนของประขาชนทั้งประเทศ ในสายตาของชาวจีนทั่วไป แผนพัฒนาประเทศก็คือแผนพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเอง ประเทศยิ่งเจริญ พวกเขาก็จะยิ่งสุขสบาย อีกไม่นานนักหรอก คนไทยก็จะเจาะจงเลือกเฉพาะคณะผู้บริหารประเทศที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางเท่านั้น โดยไม่แยแสต่อเงินซื้อเสียงแต่ประการใด…” https://youtu.be/WJuJJHLUTb0 ทางเลือกร่วมกันของชาวโลก全球人民的共同选择 บทนี้ ผู้เขียนขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านผู้อ่าน เพราะเป็นความเข้าใจใหม่ของผู้เขียน ยังไม่เคยนำเสนอที่ไหนมาก่อน และยังไม่พบว่ามีใครได้นำเสนอมาก่อนแล้ว ปัจจุบันสังคมโลกประกอบด้วยประชากรร่วม...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.