ไม่ใช่แค่งานมอบรางวัล แต่คือการเปิดแผนที่ชี้ชะตาประเทศไทยในสมรภูมิการค้าโลกครั้งใหม่ เมื่อ 96 องค์กร ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ถึงชุมชนเล็กๆ ถูกยกให้เป็น ‘ทัพหน้า’ ในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ… แต่เบื้องหลังกลไกชื่อย่อ T-VER และ LESS ที่หลายคนไม่คุ้นหู แท้จริงแล้วคืออะไร? และเหตุใด ‘คาร์บอนเครดิต’ ที่พวกเขาผลิตได้ จึงอาจเป็น ‘สกุลเงินใหม่’ ที่กำหนดความอยู่รอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้นี้



ค่ำคืนของวันที่ 24 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ในห้องบอลรูมใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานมอบโล่เกียรติคุณ ในงาน “รวมพลังลดโลกร้อน สู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติหน่วยงาน องค์กร ชุมชน และบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายใต้โครงการ Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) และ Low Emission Support Scheme (LESS) เนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปี ของโครงการ T-VER และครบรอบ 10 ปี ของโครงการ LESS โดยมี นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ให้การต้อนรับ และมี ดร.วิจารย์ สิมาฉายา อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมในพิธี ณ ห้องอัศวินแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น

งานดังกล่าว อาจดูเหมือนเป็นเพียงพิธีมอบรางวัลอันทรงเกียรติธรรมดา แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในแวดวงพลังงาน สิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ภาพของ 96 ตัวแทนจากองค์กรทั่วประเทศที่ขึ้นรับโล่เกียรติคุณจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น มีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่า
พวกเขาไม่ใช่แค่องค์กรดีเด่น แต่คือ “ผู้เล่น” กลุ่มแรกๆ ในสมรภูมิใหม่ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นั่นคือ “สมรภูมิคาร์บอน”
นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังโล่รางวัล 96 ใบ ที่เชื่อมโยงกับอนาคตของทุกคน

ทส.: แม่ทัพใหญ่ ผู้วางหมากเกม ‘โลกร้อน’
ก่อนจะเจาะลึกถึงกลไก T-VER และ LESS สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ โครงการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นผลผลิตจากการวางยุทธศาสตร์ชาติในระยะยาวโดยมี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็น “แม่ทัพใหญ่”
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือผู้รับผิดชอบหลักในการแปลงคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยให้ไว้กับประชาคมโลก—โดยเฉพาะเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065—ให้กลายเป็นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้จริง กระทรวงฯ ทำหน้าที่เป็นทั้ง ‘สถาปนิก’ ผู้ออกแบบโครงสร้างและนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ และเป็น ‘ผู้กำกับดูแล’ ให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามทิศทางที่ถูกต้อง
โดยมี องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของ ทส. ทำหน้าที่เป็น “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ” ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการสร้างเครื่องมือและตลาดคาร์บอนให้เกิดขึ้นจริง ดังนั้น บทบาทของ ทส. จึงไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์มอบรางวัล แต่คือการสร้าง ‘ระบบนิเวศ’ ทั้งหมด ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายระดับประเทศ การออกกฎระเบียบ ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจผ่านโครงการอย่าง T-VER และ LESS เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะด้วยความสมัครใจหรือด้วยกฎเกณฑ์ในอนาคต ต้องเดินหน้าสู่เป้าหมายเดียวกัน





T-VER / LESS: ไม่ใช่แค่ชื่อย่อ แต่คือ ‘ใบอนุญาต’ สู่โลกอนาคต
หลายคนอาจขมวดคิ้วกับคำว่า T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) และ LESS (Low Emission Support Scheme) แต่หากจะอธิบายให้เห็นภาพที่สุด T-VER คือกลไกที่เปลี่ยน “ความดี” ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้กลายเป็น “ทรัพย์สิน” ที่จับต้องและซื้อขายได้ เรียกว่า ‘คาร์บอนเครดิต’
ลองจินตนาการถึงโรงงานน้ำตาลที่ลงทุนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนกากอ้อยเป็นไฟฟ้าพลังงานชีวมวล, บริษัทอสังหาฯ ที่ออกแบบอาคารเขียวประหยัดพลังงาน หรือแม้แต่เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนการทำนาเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน… ทุกกิจกรรมเหล่านี้ จากเดิมที่เป็นเพียงต้นทุนและภาพลักษณ์ ตอนนี้สามารถนำมาคำนวณเป็นปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ และ “ขาย” ให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตนเอง
T-VER จึงเป็นเหมือน “ตลาดหลักทรัพย์แห่งความดี” ที่สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ภาคธุรกิจหันมาลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดอย่างจริงจัง
ขณะที่ LESS คือกลไกที่เปิดประตูให้ “คนตัวเล็ก” ได้เข้ามามีส่วนร่วม ชุมชนที่ช่วยกันดูแลผืนป่า, โรงเรียนที่ทำโครงการคัดแยกขยะ, อบต. ที่จัดการน้ำเสียอย่างถูกวิธี แม้ปริมาณคาร์บอนที่ลดได้จะไม่มากพอจะเข้าตลาด T-VER แต่ อบก. จะมอบใบประกาศเกียรติคุณให้ เป็นการสร้างฐานและปลุกจิตสำนึกให้การลดโลกร้อนกลายเป็น DNA ของสังคมไทยตั้งแต่ระดับรากหญ้า

เจาะลึก 96 องค์กร: พวกเขาไม่ใช่แค่ ‘คนดี’ แต่คือ ‘นักยุทธศาสตร์’
การที่ 96 องค์กร ทั้งรัฐ เอกชน และชุมชน ได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเกินกว่าแค่การทำ CSR (ความรับผิดชอบต่อสังคม)
ในวันที่โลกกำลังเดินหน้าสู่มาตรการกำแพงภาษีคาร์บอน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก การส่งออกสินค้าที่มาจากกระบวนการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูง จะต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาลจนอาจแข่งขันไม่ได้ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์” ของผลิตภัณฑ์กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่สำคัญไม่แพ้วัตถุดิบหรือค่าแรง
“ภูมิคุ้มกัน” ให้กับธุรกิจของตัวเอง และในภาพรวมคือการรักษาขีดความสามารถในการส่งออกของประเทศไทยไว้
- กลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรม: กำลังเปลี่ยนผ่านจากผู้ร้ายในอดีต มาสู่การเป็นฮีโร่ ด้วยการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร
- กลุ่มป่าไม้และการเกษตร: กำลังเปลี่ยนต้นไม้ทุกต้นในสนามหญ้า ป่าชุมชน หรือสวนปาล์ม ให้กลายเป็น “เครื่องจักรดูดซับคาร์บอน” ที่สร้างรายได้กลับคืนมา
- กลุ่มจัดการของเสียและชุมชน: กำลังพิสูจน์ว่า แม้แต่ “ขยะ” ที่ทุกคนเบือนหน้าหนี ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานและรายได้ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นจริงได้ในระดับท้องถิ่น

ก้าวต่อไป: จาก 96 สู่ ‘ล้าน’ คือความท้าทายที่แท้จริง
ดร.ชญานันท์ กล่าวว่า “โครงการ T-VER และ LESS ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจจริง และพลังความร่วมมือที่ช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ”
แม้พิธีมอบรางวัลจะเป็นหมุดหมายที่น่าชื่นชม แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนเส้นทางที่ยังอีกยาวไกลสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ: เราจะขยายผลความสำเร็จจาก 96 องค์กรนี้ให้กลายเป็นมาตรฐานของทั้งประเทศได้อย่างไร? ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจจะเติบโตและมีเสถียรภาพพอที่จะดึงดูดการลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน? และภาครัฐภายใต้การนำของ ทส. จะมีมาตรการสนับสนุน “คนตัวเล็ก” ในโครงการ LESS ให้สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาสู่ตลาด T-VER ได้อย่างไร?
โล่รางวัลทั้ง 96 ใบที่มอบให้ในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่เครื่องหมายแห่งความสำเร็จ แต่เป็นเหมือน “คบเพลิง” ที่ถูกจุดขึ้นเพื่อส่งต่อให้กับองค์กรอื่นๆ อีกนับหมื่นนับแสนทั่วประเทศได้รับรู้ว่า การต่อสู้กับภาวะโลกร้อนไม่ใช่ภาระ แต่คือ “โอกาส” ครั้งสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และการอยู่รอดของประเทศไทยบนเวทีโลกยุคต่อไป…
นี่คือการแข่งขันที่ไม่มีใครสามารถเป็นผู้แพ้ได้
#สืบจากข่าว รายงาน