วันอังคาร, กันยายน 30, 2025
หน้าแรกอาชญากรรม”เจ๊พัช-กฤษอนงค์“ พร้อมทนาย เข้าพบ ตร.กองปราบ คดี ”บอสปัน–หนุ่มกรรชัย“

Related Posts

”เจ๊พัช-กฤษอนงค์“ พร้อมทนาย เข้าพบ ตร.กองปราบ คดี ”บอสปัน–หนุ่มกรรชัย“

”เจ๊พัช-กฤษอนงค์“ พร้อมทนาย เข้าพบ ตร.กองปราบ คดี ”บอสปัน–หนุ่มกรรชัย“ อวดกำไลEM ระหว่างยื่นอุทธรณ์คดี “เรียกรับ” ทนายธรรมราชโผล่มาแจมมอบกมวกกันน็อค

หลังศาลยกฟ้องข้อหากรรโชกทรัพย์ เดินหน้าสู้ต่อชั้นอุทธรณ์ เปิดใจ หลังติดคุก 264 วัน เผยเจ็บปวดถูกสังคมตัดสินล่วงหน้า ยันไม่เคยตบทรัพย์ ชี้เป็นเพียงเครื่องมือดิไอคอน

เมื่อ 11.45 น. วันที่ 30 ก.ย 68 ที่ศูนย์รับแจ้งความตำรวจสอบสวนกลาง เจ๊พัช น.ส. กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ พร้อมนายเตชสิทธิ์ สีแดง ทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในคดีของ น.ส. ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ บอสปัน ดิไอคอน กรณีคลิปเสียง 20 ล้านบาท และ คดี หนุ่ม กรรชัย กําเนิดพลอย หลังจากที่ได้ออกจากเรือนจำ ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2568 ได้ประกันตัวในวงเงิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขติดกำไล EM ตลอดเวลา

ทนายเตชสิทธิ์ ทนายความ เปิดเผยว่า กรณีนี้ทางด้านบอสปัน ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท ดิไอคอน ที่ได้มาแจ้งความดำเนินคดี กับ น.ส.กฤษอนงค์ และประเด็นเรื่องการไปพาดพิงคนและเงิน 20 ล้านบาท ทางด้านของ น.ส.กฤษอนงค์ จึงได้นำ เอกสารหลักฐานมาชี้แจงกับพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะสิ่งที่เราได้รับคือมันเกี่ยวกับเรื่องของการกล่าวหา เพราะอยู่ในเรือนจำไม่สามารถชี้แจงได้ วันนี้จึงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด ในการเรียบเรียงเรื่องทั้งหมด ว่าเกิดจากอะไรเพื่อมามอบให้กับพนักงานสอบสวน

เจ๊พัช กฤษอนงค์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวน ได้เรียกมาให้ปากคำเพิ่มเติมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่ง 2 ครั้งแรกก็ให้ปากคำไปแล้วอยู่ที่เรือนจำ ซึ่งวันนี้สอบปากคำเพิ่มเติมในประเด็นของแผนงาน ในรายละเอียดต่างๆวันนี้ตนก็เลยนำเอกสารมาประกอบหลักฐานในการสอบปากคำ เพราะตอนที่อยู่ในเรือนจำ ไม่ได้มีโอกาสออกมาชี้แจงความบริสุทธิ์ใจและศาลชั้นต้น ได้ยกฟ้องในข้อหากรรโชกทรัพย์ หรือว่าตบทรัพย์ ซึ่งตนยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตนถูกตัดสินจากสื่อแล้วก็สังคม เป็นนักตบทรัพย์และกรรโชกทรัพย์ โดยที่ศาลยังไม่ทำหน้าที่ในการตัดสิน กระบวนการยุติธรรมยังไม่จบ ซึ่งวันนี้คดีนี้ก็ได้มีการยกฟ้องแล้ว ตนจึงอยากจะมาชี้แจงให้สังคมได้รับรู้ และเป็นกรณีศึกษาให้สังคมได้รู้ว่าถ้า มีคนที่โดนกระทำในลักษณะแบบนี้แล้วศาลยังไม่ตัดสินและยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ก็อยากให้ สังคม และสื่อมวลชนอย่ารีบด่วนตัดสิน ว่ากระทำความผิด ต้องให้ศาลเป็นคนตัดสินเท่านั้น

อย่างวันนี้ข้อหาของตน ในอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง โดนแจ้งข้อกล่าวหา 2 ข้อ คือกรรโชกทรัพย์หรือตบทรัพย์ และเป็น ตัวกลางเรียกรับทรัพย์ศาลยกฟ้อง ในกรณีกรรโชกทรัพย์ ที่สังคมได้ตัดสินตนไปแล้วว่ากระทำความผิด ตนโดนแค่ข้อหา ตัวกลางเรียกรับทรัพย์ ซึ่งตนโดนจำคุก 3 ปีให้การเป็นประโยชน์เหลือ 2 ปี และอยู่ในเรือนจำมาเกือบ 1 ปี ซึ่งก็เหลืออีก 1 ปี ตนพยายามทำทุกอย่างแต่ก็ไม่สามารถประกันตัวได้ แต่ที่ตนมายืนอยู่ตรงนี้และประกันตัวได้นั้นเป็นเพราะ พ่อของตนเป็นคนทำและร่วมมือช่วยเหลือกับทางทนายความ ศาลก็เลยเมตตา ให้ออกมาสู้ กันในชั้นอุทธรณ์

ซึ่งในส่วนของคดีกรรโชกทรัพย์ จากคำกล่าวอ้าง ทางด้านของบอสปันนั้นไม่ได้จ่ายเงินเพราะความกลัว เพราะการจ่ายเงินเป็นการจ่ายทิ้งช่วงไปนานแล้ว ก่อนที่จะมีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียน และบอสปันก็ทำตาม คำแนะนำทุกอย่างของตน ซึ่งศาลตัดสินว่าคดีนี้ไม่ได้จ่ายเพราะความกลัวแต่เป็นข้อตกลงระหว่างบอสปันกับตน

ตอนนี้เหลือแค่คดีเดียว และตอนนี้สบายใจขึ้น เพราะไม่น่าจะมีอะไรหนักไปกว่า 264 วันที่อยู่ในเรือนจำ ที่ตนถูกมัดมือมัดเท้ามัดปากที่ไม่สามารถชี้แจงอะไรได้เลย และอีกเรื่องที่ตนอยากชี้แจง ก็คือเรื่อง ที่ตนได้แนะนำ บอสปันบอสพอลไปแล้วก่อนที่ตนจะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและได้แนะนำว่า อยากให้ ชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหาย โดยการคุยผ่าน ใลน์ ซึ่งตนก็แคป หน้าจอ หลักฐาน ในการพูดคุยกับบอสปันมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ซึ่งก็ทำเต็มที่แล้วแต่ทางด้านของบอสปันและบอสพอล เลือกที่จะ ไม่เยียวยาผู้เสียหาย แต่จะไปสู้คดีในชั้นศาลเอง

และตนขอยืนยันว่าตนไม่ได้อยู่ข้างบริษัท ตนเป็นกลาง โดยที่ตนจะช่วยเหลือทุกคนทั้งบริษัทและผู้เสียหาย แต่ประเด็นนี้ผู้เสียหายเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งคนที่อยู่เหนือที่สุดก็คือบริษัทที่สามารถโกงได้และมีอำนาจมากกว่า เขาสามารถโกงมาได้ 7-8 ปี ได้ถึงหมื่นล้าน เขาต้องเก่งขนาดไหนซึ่งทางผู้เสียหายก็ไม่ได้มีที่พึ่งพาและมีความรู้ทางด้านกฎหมาย ผู้เสียหายก็ได้ไปขอความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลแต่ทางรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้ ผู้เสียหายก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากตน ซึ่งก็ช่วยได้แค่เบื้องต้นเพราะตนก็มีกำลังแค่นี้ และก็เข้าใจว่าบริษัท ในการทำธุรกิจ แล้วก็เข้าใจผู้เสียหาย ตนจะไปทางไหนต้นก็เจอปัญหา ซึ่งทางรัฐบาลเป็นผู้ที่ต้องมายื่นช่วยเหลือผู้เสียหายแต่กลับไม่ทำ ถ้ามาช่วยผู้จะหายตั้งแต่แรกก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งคนที่ใช้ตนเป็นเครื่องมือมากที่สุดก็คือทางด้านของบริษัท เพราะบริษัทก็ไปยืมมือรัฐเพื่อมาแจ้งความดำเนินคดีกับตนเพราะตนทำให้บริษัทได้รับความเสียหายและได้รายได้ไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ ตนจึงได้เรียนรู้ว่าการอยู่เป็นกลางไม่ได้ดีสำหรับใคร

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยากจะกลับมาช่วยเหลือ สังคมอีกไหม เจ๊พัช กฤษอนงค์ เปิดเผยว่า ให้พูดตามจริง ตนก็ได้บทเรียน จากการติดคุกมา 264 วันว่าการเป็นกลางนั้น ทำให้ตนเดือดร้อน ทำให้บ้านต้องโดนยึด ทรัพย์สินโดนยึดลูกต้องย้ายโรงเรียน นี่คือบทเรียนที่ตนได้รับ เงินจะใช้ยังไม่มีต้องได้มาหยิบยืมกับทนาย ในการดูแลตัวเอง สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครมารับผิดชอบตนต้องช่วยเหลือตัวเองกับการกระทำที่ตนเคยทำไว้ บทบาทการช่วยเหลือสังคมสำหรับตนก็อาจจะไม่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะคนที่เป็นกลางแบบไม่มีอำนาจก็เหมือนไร้ประโยชน์ เพราะสุดท้ายแล้วตนก็กลายเป็นเครื่องมือของโจร และตอนนี้ตนก็ยังได้รับผลกระทบจากการโดนข่มขู่ เพราะว่าตนเปิดเผยว่าจะเอาหลักฐานเอกสารไปให้ทางด้านของ DSI เพราะว่ายังมี ผู้ที่ร่วมขบวนการ แถว 2 และแถว 3 ยังไม่ติดคุก เพราะติดไปแค่ 16 คนเอง ดังนั้นก็ยังมีผู้ที่ กระทำความผิดอยู่ข้างนอกพร้อมที่จะข่มขู่ตนได้ตลอดเวลาตอนนี้คดีที่เหลืออยู่ก็จะเป็นของทางด้านหนุ่มกรรชัยแล้ว คดี นางสาวจิราพร สินธุไพร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไทย และของบอสปัน ซึ่งแต่ละคดีรอทำเอกสารแจ้งไปทาง พนักงานสอบสวนเพือต่อสู้ทางคดีต่อไป

และผู้สื่อข่าวได้สอบถามกรณีที่อยู่ในเรือนจำได้พบกับบอสปัน หรือบอสคนอื่นๆหรือไม่ เจ๊พัช กฤษอนงค์ เปิดเผยว่าได้เจอแต่ไม่ได้คุยกัน ซึ่งเขาก็จะพยายามที่จะก้มหน้า ไม่มองตนมีแต่ตนเท่านั้นที่ยืดอกพร้อมที่จะ เปิดใจตลอด และก่อนที่ตนจะได้ออกมาจากเรือนจำ ได้พูดคุยกับบอสปัน ว่าไม่ได้อยากให้บอสปันติดคุกมีแต่บอสปันเท่านั้นที่มาแจ้งความแล้วอยากให้ตนติดคุก ซึ่งตนก็ยอมรับสภาพและตนได้รับกรรมไปแล้วและได้ ออกมาก่อน และยืนยันว่าไม่ได้ มีเจตนาให้ใครติดคุก แล้วได้พูดคุยกับบอสปันว่าฉันจะได้ออกจากคุกแล้ว ก็จะออกไปแก้ไขชีวิตที่เหลือ ให้ถูกต้อง เธออยู่ในนี้เธอก็รับผลกรรมของเธอต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าช่วงเข้า 08.30 น. ขณะที่เจ๊พัช กฤษอนงค์ พร้อมทนายความกำลังสแกนใบหน้าเพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามอยู่นั้น นายธรรมราช สาระปัญญา ได้เดินทางนำหมวกกันน็อค มายื่นให้ น.ส.กฤษอนงค์ และบอกว่า “พี่มีปัญหากับใครอ่ะ เดี๋ยวเวลาแถลงข่าวพี่ต้องใส่หมวกกันน็อคนะ ผมโดนมาแล้ว โดนตรงนี้” สร้างความงุนงงให้กับ เจ๊พัช กฤษอนงค์ อยู่พักใหญ่ ก่อนนึกได้ว่านายธรรมราช เคยโดนชายสองคนบุกมาตบหน้าขณะยืนแถลงข่าวที่ด้านหน้าศูนย์รับแจ้งความฯ แห่งนี้

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts