ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง “แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร” (อดีตพระมหาไพรวัลย์) และ “จตุรงค์ จงอาษา” นักวิชาการด้านศาสนา ในคดีที่ถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา กรณีร่วมรายการ “โหนกระแส” วิพากษ์วิจารณ์ประเด็น “การลงนะหน้าทอง” โดยศาลวินิจฉัยว่าเป็นการ “ติชมด้วยความเป็นธรรม” ที่สามารถทำได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 25 ก.ย.68 ที่ ศาลจังหวัดนครปฐม ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (คมน์กฤตย์ กิตติจิตโต) หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ตำบลนครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไพวัลย์ แพรรี่ วรรณบุตร เป็นจำเลยที่ 1 นายจตุรงค์ จงอาษา เป็นจำเลยที่สอง กับพวกอีก 8 ราย เรื่องหมิ่นประมาท
โจทก์ ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 28 ก.ค.66 เวลากลางวันจำเลยทั้ง 10 ร่วมกันดูหมิ่นและหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์โดยการโฆษณา จากการที่ทั้งสองได้ไปร่วมรายการโทรทัศน์ “โหนกระแส” จำเลยที่หนึ่งและสองได้พูดคุยและให้สัมภาษณ์รายการโหนกระแสในหัวข้อ“ แพรี่ฟาดกลับหลวงพี่น้ำฝน ปกป้องพระพยอม” ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถรับชมรายการดังกล่าวได้ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เอชดี. หรือรับชมผ่านระบบออนไลน์ และมีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์การทำพิธี “ลงนะหน้าทอง”
ในส่วนที่สำคัญของคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า การที่ นายสุ. และ นายศุภ. (บุคคลที่มาให้ข้อมูลในคดี) ได้ตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 2 ว่า “พระไตรปิฎกไม่มีการกล่าวถึงการลงนะหน้าทอง” นั้น ทำให้พุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นพุทธบริษัทมีสิทธิสงสัยในการทำพิธีดังกล่าวได้
ศาลเห็นว่า เนื่องจากโจทก์เองได้แสดงออกในที่สาธารณะและสื่อมวลชนจนเป็นกระแสสังคม โจทก์จึงต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างกว้างขวาง การที่รายการโหนกระแสตีแผ่ก็เพื่อให้ผู้ชมผู้รับฟังรู้ในแง่มุมหลากหลาย และเป็นเรื่องที่วิญญูชนทั่วไปสามารถรับรู้ได้ ถือเป็นเจตนาที่ดีของรายการโทรทัศน์
ศาลฯ ชี้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนักวิจารณ์และนักวิชาการด้านศาสนามีความชอบธรรมที่จะให้สัมภาษณ์ในรายการดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงถือได้ว่า ไม่มีเจตนาใส่ความทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แต่เป็นการ ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยที่จำเลยชอบที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(3)
สำหรับประเด็นที่จำเลยที่ 2 กล่าวถึงโจทก์ว่าเป็น “พระต่ำต้อย ต๊อกต๋อย” นั้น ศาลฯ วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เห็นว่าโจทก์มีสมณศักดิ์ต่ำกว่าพระสงฆ์ที่โจทก์วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ แม้เป็นถ้อยคำที่ไม่สุภาพ แต่หาใช่คำด่าหรือเป็นคำเจาะจงสบประมาทเหยียดหยามโจทก์ ให้ได้รับความอับอายอันเป็นความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 แต่อย่างใด
ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท และดูหมิ่นด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 และ 393 ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องมานั้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 เห็นพ้องด้วย และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
นอกจากนี้ จำเลยทุกคนในคดีนี้ โจทก์ได้ทำการถอนฟ้องไปหมดแล้ว ยกเว้นจำเลยที่ 1 (ไพรวัลย์) และจำเลยที่ 2 (จตุรงค์) ที่ยังคงต่อสู้คดี
ทั้งนี้ โจทก์มิได้มาฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าว
ท้ายนี้ ทนายเป้ง อรรณพ ระบุว่า หลายปีมานี้พระสงฆ์ถูกสังคมวิจารณ์เกี่ยวกับพุทธพาณิชย์ นอกกิจของสงฆ์ คำสอนนอกตามหลักธรรม ฯลฯ แทนที่จะทบทวนปวารณาแก้ไขตนตามที่โลกติเตียน กลับใช้กฎหมายทางโลกฟ้อง คดีทางศาสนาฟ้องมาก็พร้อมสู้ทั้งปัญหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และข้อธรรม








